การเมืองร้อนไม่หยุดเจอศึกนอกศึกในรุมเร้าบีบรัฐบาล “แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี จนต้องประกาศให้ ตัดไฟ ตัดสัญญาณเน็ต งดส่งน้ำมันเชื้อเพลิง 5 จุดชายแดนเมียนมา ในเมียนมาซึ่งเป็นแดนสวรรค์ของ “แก๊งสแกมเมอร์” ที่ทำมาหากิน ตั้งโรงงานผลิตยาเสพติด แก๊งคอลเซ็นเตอร์ บ่อนกาสิโน บ่อนพนันออนไลน์ ก่ออาชญากรรมออนไลน์ทำประชาชนต้องเดือดร้อนไปทั่วโลกไม่ใช่เฉพาะประเทศไทย
จุดที่ 1 บริเวณบ้านพระเจดีย์สามองค์-เมืองพญาตองซู รัฐมอญ จุดที่ 2 บริเวณสะพานมิตรภาพไทย-พม่า-เมืองท่าขี้เหล็ก รัฐฉาน จุดที่ 3 จุดซื้อขายไฟฟ้าที่บ้านเหมืองแดง-เมืองท่าขี้เหล็ก รัฐฉาน จุดที่ 4 บริเวณสะพานมิตรภาพไทย-พม่า แห่งที่ 2-เมืองเมียวดี จุดที่ 5 บริเวณบ้านห้วยม่วง-เมืองเมียวดี
หลังถูกสาธารณรัฐประชาชนจีนบีบด้วยการส่งผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคง “หลิว จงอี” เดินทางลงพื้นที่สแกนชายแดน “ไทย-เมียนมา” ในพื้นที่ อำเภอแม่สอด ซึ่งจุดตรงข้ามเป็นเมืองชเวก๊กโก่ และเมือง เคเคพาร์ค ในฝั่งเมียนมา ถิ่นทำกินพวกสแกมเมอร์ ส่งต่ออาชญากรรมพื้นที่ออนไลน์ดูดเงินไปทั่วโลก ให้เห็นกับตาพร้อมร่วมหารือกับหน่วยงานทางการไทย ในความร่วมมือป้องกันปราบปรามการค้ามนุษย์ปัญหา คอลเซ็นเตอร์ การช่วยชาวจีนที่ตกเป็นเหยื่อ และ รวมถึงแนวทางการดำเนินการ ความร่วมระหว่างไทยและจีนในการจัดการให้เด็ดขาด

แต่กว่าที่รัฐบาลจะลงมือจัดการขั้นเด็ดขาด ก็มีการโยนเผือกร้อนกันไปมาระหว่าง “บิ๊กอ้วน” ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม กับ “เสี่ยหนู”อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย จนสุดท้าย “ภูมิธรรม”ต้องตัดสินใจเซ็นอนุมัติสั่งตัดไฟชายแดนเมียนมา
“เสี่ยหนู” จึงนำทีมยกขบวนผู้บริหารกระทรวงมหาดไทย กดสวิตซ์ตัดไฟทันที ในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 68 เวลา 09.00 น.ยอมสูญรายได้ 600 ล้านบาทต่อปี
แต่ไม่ได้ทำให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์ยี่หระ เพราะกว่าถูกตัดไฟก็ใช้เวลานานโข พวกแก๊งมิจฉาชีพก็มีเวลาในการจัดหาสิ่งมาทดแทนได้ โดยการหันไปใช้ไฟฟ้าจากสปป.ลาว ซื้อน้ำมันเชื้อเพลิง หาเครื่องปั่นไฟใช้เอง เปลี่ยนฐานปฏิบัติการ แทนที่จะมีคำชื่นชม แต่กลับกลายเป็นจับไม่ได้ไล่ไม่ทัน เพราะการดำเนินการล่าช้า
ส่วน“นายกฯอิ๊งค์” แพทองธาร ชินวัตร ก็เดินทางไปเยือนจีน พูดคุยกับ “สี จิ้นผิง” ประธานาธิบดีสาธารณรัฐประชาชนจีน ในโอกาสความสัมพันธ์ 50 ปี ไทยจีน ถือโอกาสนี้ หอบโครงการ“บิ๊กกะโปรเจ็ค” นำไปโลดโชว์เสนอ “สีจิ้นผิง” โครงการพัฒนารถไฟความเร็วสูง เชื่อมโยงระหว่างไทย-จีน และการใช้ประโยชน์ความร่วมมือเศรษฐกิจ ไทย ลาว จีน ขณะที่จีนยังส่งเสริม ภาคเอกชนไทยในทุกมิติ
และงานนี้ “นายกฯอิ๊งค์” ก็ไม่ลืมโชว์ผลงานของไทยในการแก้ปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ ด้วยการตัดไฟ ตัดสัญญาณเน็ต งดส่งน้ำมัน ชายแดนไทยเมียนมาแล้ว ให้รู้ว่าประเทศไทยมีความจริงใจ และจริงจังต่อการแก้ปัญหา ไม่นิ่งนอนใจ

ทำให้เห็นภาพ 2 ผู้นำจับมือยิ้มล่า จน “สีจิ้นผิง” ชื่นชมรัฐบาลไทยที่พยายามอย่างเต็มที่ และเป็นรูปธรรมโดยเฉพาะการตัดน้ำไฟฟ้า อินเตอร์เน็ตและน้ำมัน ที่จะสามารถตัดวงจรกิจกรรมที่เป็นอาชญากรรมต่างๆ ได้ และเชื่อว่า เจ้าหน้าที่ฝ่ายปราบปราม จะดูแลความปลอดภัยและผลประโยชน์ของประชาชนทั้งสองประเทศด้วยการยกระดับการบังคับใช้กฎหมายทั้งในระดับทวิภาคีและอนุภูมิภาค”
ต้องดูว่า “รัฐบาลแพทองธาร” จะสู้กับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ได้จริงหรือไม่ สามารถปราบปรามได้ราบคาบหรือเปล่า เพราะมีตำรวจเองโดยพล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ต่อต้านการค้ามนุษย์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และผู้อำนวยการศูนย์ป้องกันปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (จตช./ผอ.ศตคม.ตร./ผอ.ศปอส.ตร.) ออกมายอมรับเอง ว่า “แก๊งคอลเซ็นเตอร์”ได้มีการย้ายฐานจากเมียนมาไปกัมพูชา หลังจากที่ได้ยกระดับความเข้มข้นในการเดินหน้าปราบปราม ด้วยมาตรการต่างๆที่ออกมา เพื่อไม่ให้กลุ่มแก๊งดังกล่าวสามารถตั้งฐานปฏิบัติการเพื่อหลอกลวงประชาชนไม่ว่าชนชาติใด
จากนี้ก็ต้องจับตาดูว่าการปรับแผนปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติที่ไทยถูกมองว่าเป็นทางผ่าน จะมีการบูรณาการร่วมกันกับหลายหน่วยงานจับมือร่วมกัน 3 ประเทศ “ไทย-จีน -กัมพูชา” จะสามารถปราบได้สิ้นซากจริงหรือไม่ ผลของงานจะเป็นตัวพิสูจน์ฝีมือรัฐบาล
แต่อย่าลืมว่าต้นตอของปัญหาเรื่องนี้ ส่วนหนึ่งมาจากที่ประเทศไทยต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจ ด้วยการมาตรการ“ฟรีวีซ่า”เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าประเทศได้โดยไม่ต้องมีวีซ่า โดยเฉพาะประเทศจีน ทำให้กลายเป็นว่า ขาดระบบการกรองเปิดช่องให้กลุ่มอาชญากรรมข้ามชาติเข้ามาทำร้ายคนไทย ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ต้องทบทวนให้เหมาะกับสภาพปัญหาที่แท้จริง
นอกจากนี้ยังมีศึกนอกกรณี “ทรัมป์เอฟเฟกต์” เขย่าโลก ปฏิเสธไม่ได้ว่าอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะการขึ้นภาษีสินค้าหลัง “โดนัลด์ ทรัมป์”ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ประกาศนโยบายขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าประเทศที่ได้เปรียบดุลการค้าสหรัฐฯ ทำให้ประเทศไทยมีความเสี่ยงสูงจะถูกขึ้นภาษีนำเข้าสินค้า เพราะอยู่ในอันดับ12 ของประเทศที่ได้เปรียบดุลการค้าสหรัฐฯมากว่า 10ปี สินค้าไทยที่เสี่ยงถูกขึ้นภาษี คือ สินค้าเกษตร จะมีผลกระทบต่อประเทศไทย
ซึ่งต้องจับตาดู “รัฐบาลแพทองธาร” จะมีมาตรการอย่างไรในการรับมือสงครามการค้าโลก ถือว่าเป็นโจทย์ที่ท้าทายของรัฐบาลด้วยเช่นกัน

ขณะที่ศึกในประเทศก็มีปรากฏการณ์ “รอยรัก รอยร้าว” หลัง “นายใหญ่” ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ออกอาละวาดในศึกเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดทั่วประเทศ สาดโคลนไปยังพรรคร่วมรัฐบาล โดยเฉพาะคำพูดที่ว่า “ไล่หนูตีงูเห่า” สุดท้ายผลออกมากลายเป็นว่าพรรคเพื่อไทยได้ 10 จังหวัด จากที่ตั้งเป้าไว้ 20 จังหวัด ขณะที่พรรคภูมิใจไทย ได้ถึง 14 จังหวัด ทำให้ เห็นว่า “นายใหญ่ทักษิณ”เสื่อมมนต์ขลัง
ทำให้“อุ๊งอิ๊งค์” ในฐานะหัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) ชี้ถึงเหตุที่ทำให้การเลือกตั้งนายกอบจ.ต้องพบกับความพ่ายแพ้ไม่ได้ตามเป้า เพราะเนื่องจากว่ามีการแย่งชิงทะเลาะกันเอง และจะถอดบทเรียนการเลือกตั้งครั้งนี้ เพื่อร่วมกันฝ่าฟันกับสงครามครั้งใหม่ในการเลือกตั้งปี 70 ที่ประกาศไว้ต้องได้กว่า 200 เสียงขึ้นไป แต่คงจะเป็นไปไม่ได้ถ้าไม่สามัคคีร่วมแรงร่วมกัน
ที่สำคัญ“พรรคภูมิใจไทย”ถือได้ว่าเป็นคู่แข่งตัวยง ถ้าจับอาการ“นายใหญ่ทักษิณ” ที่เคยประกาศ “ไล่หนูตีงูเห่า” ในสนามเลือกตั้งนายกอบจ.ที่ผ่านมา แต่สุดท้ายต้องพ่ายศึกต่อ “พรรคภูมิใจไทย” อีก ดังนั้นการบริหารงานของรัฐบาลต่างก็ต้องระวังหลังกันให้ดี เพราะอาจจะกลายเป็นศึก “กัญชา– กาสิโน” ที่อาจทำให้รัฐบาลสะดุดขากันเองไปไม่ถึงฝั่งฝันได้
แต่ถึงอย่างไรก็อย่าดูถูก “พรรคส้ม” ที่แม้ได้นายกอบจ.พรรคประชาชนได้เพียงจังหวัดเดียว แต่ก็เป็นแสงสว่างคนรุ่นใหม่
ศึกทั้งหมดจะถูกโหมโรงด้วยศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจ ที่พรรคร่วมฝ่ายค้านประชุมกันกำหนดกรอบตีโจทย์ทะลวงไส้ในรัฐบาล ให้เห็นชัดๆตอนนี้ ก็มีเรื่อง แก๊งคอลเซ็นเตอร์ เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ที่นำ“กาสิโน”เข้าไปร่วมด้วย รวมถึงการวางแผนรับมือปรากฎการณ์ทรัมป์เอฟเฟกต์ ซึ่งจะมีผลต่อการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ จึงเป็นโจทย์ใหญ่ ของหลายรัฐบาลต้องล้มระเนระนาดมาแล้ว