นอกจากนี้ยังมีกำหนดการพบปะกับนายจ้าว เล่อจี้ ประธานสภาประชาชนแห่งชาติสาธารณรัฐประชาชนจีน และนายหลี่ เฉียง นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาชนจีน
แม้วาระอย่างเป็นทางการจะเป็นการ ขับเคลื่อนความสัมพันธ์และความร่วมมือในทุกมิติ ทั้งการค้าการลงทุน เศรษฐกิจ และสังคมของทั้งสองประเทศ
และ….เหนือสิ่งอื่นใดในปี 2568 นี้ ยังเป็นปีทองแห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต ระหว่างไทยกับจีน ที่มีมาอย่างยาวนานถึง 50 ปี
แน่นอนว่าการเดินทางครั้งนี้ของนายกฯ แพทองธาร ก็เป็นที่จับตามองว่า จังหวะการพบปะกับประธานาธิบดี “สี จิ้นผิง” ย่อมหนีไม่พ้นในเรื่องของการร่วมกันแก้ไขปัญหา “แก๊งคอลเซ็นเตอร์” ที่กำลังกลายเป็นโจทย์ใหญ่ เป็นวาระร้อนของรัฐบาล
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อ “หลิว จงอี้” ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงความมั่นคงสาธารณะ แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน พร้อมคณะผู้บริหารชุดใหญ่ถึง 15 คน ได้เดินสายเข้าพบหน่วยงานไทยในหลายระบบ
รวมไปถึงการเดินสายไปยังพื้นที่แนวชายแดน เพื่อดูพื้นที่ของประเทศที่สาม ที่เป็นพรมแดนธรรมชาติที่สามารถเดินทางมาไทยได้โดยไม่ยากลำบาก
แม้ทุกวันนี้รัฐบาลได้พยายามทำทุกทางที่จะ “ยุติ” ปัญหานี้ให้ได้แบบเบ็ดเสร็จ ตามที่ “พ่อนายกฯ” ทักษิณ ชินวัตร ได้ประกาศไว้บนเวทีในการทำหน้าที่ช่วยหาเสียงให้กับบรรดาผู้สมัครอบจ.ในหลายเวที ในช่วงที่ผ่านมา ที่ต้องทำให้ปัญหานี้หมดไปให้ได้ภายในปี 2568
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง!! การแก้ไขพ.ร.ก.ไซเบอร์ เพื่อเพิ่มการมีส่วนรับผิดชองสถาบันการเงินและค่ายมือถือ เพื่อเป็นการป้องกัน หรือการกำหนดแนวทางการป้องกันการโอนเงินไปให้บัญชีม้า ของแบงก์ชาติ
รวมไปถึงค่ายมือถือเอง ที่ได้ออกมาตรการอย่างการลงทะเบียนซิมมือถือ ให้ตรงกับบัญชีของโมบายแบงก์กิ้ง และอีกหลายช่องทาง เพื่อล้อมคอกปัญหา
แต่ความพยายามแต่เพียงฝ่ายเดียว อาจทำให้เป้าหมายไปไม่ถึงฝั่งฝันได้ ดังนั้นเมื่อมีโอกาสพบปะผู้นำแห่งแดนมังกร ก็เชื่อได้ว่านายกฯแพทองธาร คงไม่ปล่อยให้โอกาสนี้หลุดมือไป
เพราะ…อย่าลืมว่าปัญหาที่กำลังปะทุอยู่ในเวลานี้ ได้ทำให้ภาพพจน์และชื่อเสียงของประเทศไทยกำลังถูกทำลาย โดยเฉพาะในเรื่องของการท่องเที่ยว
อย่าลืมว่าที่ผ่านมา นักท่องเที่ยวจีน ถือเป็นนักท่องเที่ยวหลักของไทย แม้ล่าสุดในปี 67 จะเดินทางมาไทยเพียง 6.7 ล้านคนก็ตาม
แต่ในช่วงที่ผ่านมา การท่องเที่ยวไทยกำลังถูกแรงกดดันจากการใช้เป็นทางผ่านของเครือข่ายอาชญากร รวมถึงแก๊งคอลเช็นเตอร์ การค้ามนุษย์ รวมไปถึงทุนสีเทา
ดังนั้น…การใช้โอกาสนี้ยืนยันว่าประเทศไทยมีความพร้อมรับนักท่องเที่ยวจากจีน ให้เดินทางมาท่องเที่ยวได้อย่างปลอดภัย ไม่มีเหตุการณ์ลักพาตัวนักท่องเที่ยวเหมือนที่มีข่าวอย่างอึกทึกครึกโครม ตามสื่อโซเชียลของจีน
ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องการสร้างความมั่นใจให้นักท่องเที่ยวจีนเพียงเรื่องเดียวเท่านั้น ที่นายกฯแพทองธาร ต้องโชว์ฝีปากให้ประธานาธิบดี “สี” ให้ความสำคัญ
แต่!!ยังมีปัญหาในเรื่องของสินค้าจีนที่ไหลทะลักเข้ามาในไทยอย่างหนัก ที่กำลังทำลายธุรกิจไทย โดยเฉพาะธุรกิจรายเล็กรายย่อย ที่อย่างไรซะ… ก็ไม่มีทางต่อสู้ผู้ผลิตของจีนได้แน่
ที่สำคัญ!!เมื่อประธานาธิบดีสหรัฐ “โดนัลด์ ทรัมป์” ได้ประกาศชัดเจนที่จะเริ่มขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนในวันที่ 4 ก.พ.นี้ ก็ยิ่งทำให้ “ความเสี่ยง” ต่อผู้ประกอบการไทยยิ่งเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว
สารพัดสารพันปัญหา ที่กำลังจะตามมายังมีอีกมากมาย ที่ไทยจำเป็นอย่างยิ่ง ต้องทำความเข้าใจ ต้องขอความร่วมมือจาก “พี่ใหญ่” เพื่อให้ปัญหายุติ
ทั้งหลายทั้งมวล…จึงขึ้นอยู่กับนายกรัฐมนตรี “แพทองธาร ชินวัตร” ว่าจะใช้โอกาสที่ดีเช่นนี้ สร้างความเข้าใจ เพิ่มความสัมพันธ์ ได้แค่ไหน?
……………………………………….
คอลัมน์ : เศรษฐกิจจานร้อน
โดย “ช่อชมพู”