ศึกเลือกนายกองค์การบริหารจังหวัด (อบจ.)และสมาชิกอบจ.ทั่วประเทศกลายเป็นศึกโหมไฟการเมือง หลัง “นายใหญ่ ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี ตั้งฉายาตัวเองว่า “สทร.” ใช้เวทีปราศรัยหาเสียงฟาดดะ

ส่งสัญญาณชัดว่า “ตัวพ่อ” ของทุกวงการหวังทวงคืนฟื้นศรัทธากลับคืนสู่ “พรรคเพื่อไทย” พร้อมประกาศชัดเลือกตั้งครั้งหน้าก็ขอให้เลือกพรรคเพื่อไทยให้หมด เอาให้เพื่อไทยกลับคืนมาเกิน 200 เสียง เพราะคราวที่แล้วได้น้อยไปหน่อย มีพรรคร่วมรัฐบาลเยอะ ทำงานได้ แต่ช้า คราวหน้าให้มีพรรคร่วมน้อยๆ เอาเพื่อไทยเยอะๆ รับรองว่าทำงานแล้วจะรวยเหมือนสมัยพรรคไทยรักไทย มันใหญ่ ทำงานได้เร็ว เพราะรัฐมนตรีอยู่ด้วยกัน อยู่สังกัดเดียวกันหมด ไม่มีเลศนัยเล่ห์เหลี่ยม

ต้องยอมรับว่า “รัฐบาลพรรคเพื่อไทย” ในยุคนี้มีเงาจันทร์สองหล้าทาบทับต้องสู้กับเล่ห์เหลี่ยมของพวกพรรคร่วมที่ซ่อนดาบไว้ คอยจ้องขี่คอต่อรองขอแบ่งปันผลประโยชน์ จนทำให้เห็นรอยร้าว เกิดการขบเหลี่ยมปีนเกลียวชัดเจน เริ่มตั้งแต่ กัญชา กาสิโน ที่ตอนนี้ตกลงกันไม่ลงตัว

หลังศึกเลือกตั้งนายกอบจ.และส.อบจ. สิ่งที่ต้องทำคือฟื้นสัมพันธ์พรรคร่วมรัฐบาลจับมือกันสู้ศึกซักฟอกที่ฝ่ายค้านพรรคประชาชนออกโรงขู่ฟ่อ ยกประเด็นร้อนรอเชือดกลางสภา ที่ฝ่ายค้านออกมาแย้มว่าข้อมูลส่วนหนึ่งได้มาจากพรรคร่วมรัฐบาลส่งให้

สำหรับวาระร้อนที่เห็นได้ชัดตอนนี้ คือเรื่องจัดการแก๊งค์คอลเซ็นเตอร์ โดยรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ในฐานะประธานคณะกมธ.ความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติ และการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร ออกมาระบุชัด วันนี้เศรษฐกิจไทย ภาคส่วนที่สำคัญ คือ การท่องเที่ยว หากการที่ชาวต่างชาติมองว่า การมาเที่ยวประเทศไทยไม่ปลอดภัย เพราะอาจจะเป็นเหยื่อของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และเป็นเหยื่อของแก๊งค้ามนุษย์ ซึ่งเรื่องนี้ทำร้ายประเทศไทยอย่างมาก ปัญหาการคอลเซ็นเตอร์เป็นปัญหาใหญ่ของประเทศไทย เป็นภัยที่ร้ายแรง คนไทยจำนวนมาก ส่งผลกระทบต่อประเทศทั่วโลก พร้อมซัดไปที่กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อย่าเป็นแบตเตอรี่ ให้กับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ต้องตัดน้ำ ตัดไฟ ตัดอินเตอร์เน็ต ตัดสาธารณูปโภคต่าง ๆ ซึ่งสามารถทำได้ทันที

 งานนี้ทั้ง “นายใหญ่ทักษิณ”และ “บิ๊กอ้วน” ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ได้ทีจับมือขย่ม “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกุล รองนายกฯและรมว.มหาดไทย และหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ชี้การดำเนินการตัดไฟไปขายยังเมียนมา ที่ตั้งของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เป็นดุลยพินิจของกระทรวงมหาดไทย ถ้าสัญญาไม่ถูกต้องก็ต้องยกเลิก และสามารถทำได้ทันทีหากสัญญาไม่ถูกต้อง

โดย“บิ๊กอ้วน” ย้ำว่าในส่วนของความมั่นคงได้สั่งการไปแล้วว่า หากพบว่าใครรู้ว่าจุดใดมีการส่งไฟให้กับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และยังมีการจ่ายไฟอยู่ ให้ถือว่าเป็น “ผู้สมรู้ร่วมคิด” มีความผิด ฝ่ายความมั่นคงเราจะดำเนินการ

ขณะที่“เสี่ยหนู” ยืนกรานถ้าจะให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินการตัดไฟก็ขอให้มีคำสั่งมา พร้อมดำเนินการทันที และเรื่องนี้กระทรวงมหาดไทยโดยการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ได้ติดตามและดำเนินการอยู่ตลอด มีการออกหนังสือไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการจำหน่ายไฟฟ้าให้กับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อขอคำแนะนำ หรือข้อเสนอแนะว่า ควรทำอย่างไรต่อ

ด้าน“คารม พลพรกลาง” รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะสมาชิกพรรคภูมิใจไทย งัดหลักการถึงการดำเนินการว่า “ทุกขั้นตอนเป็นการปฏิบัติตามข้อสั่งการเดิมที่มีมาก่อนหน้านี้ การจะยกเลิกหรือยุติการขายจึงต้องอาศัยข้อสั่งการในลักษณะเดียวกัน” เพราะการขายไฟฟ้าให้กับประเทศเพื่อนบ้าน ต้องเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี การขายไฟฟ้าให้กับประเทศเพื่อนบ้าน เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ  จะนำเพียงข้อสันนิษฐานว่า “เมื่อคู่สัญญาซื้อขายไฟฟ้านำไปขายให้พวกแก๊งคอลเซนเตอร์ แล้วตัดไฟฟ้าที่ขายให้เขาเลยนั้น”  เป็นการกระทำที่ไม่ชอบตามกฎหมาย  เพราะในสัญญาระบุไว้หากฝ่ายคู่สัญญานำไฟฟ้าไปใช้ในกิจการที่ผิดกฎหมาย หรือเป็นภัยต่อความมั่นคง  ต้องให้หน่วยงานความมั่นคงยืนยัน สั่งการให้ กฟภ. ดำเนินการระงับการจ่ายไฟฟ้า

“การที่กฟภ.จะยกเลิกสัญญา ได้ในกรณี ดังนี้  1. ดำเนินการตามกฎหมาย  2. ดำเนินการตามสัญญา  3.ดำเนินการตามนโยบายฝ่ายความมั่นคง  4. ดำเนินการตามนโยบายรัฐบาล”  

พร้อมย้อนเกล็ดจิ้มไปที่คดีเก่าของ “นายกใหญ่” การให้ กฟภ.ไม่จ่ายกระแสไฟฟ้า ให้กับคู่สัญญานั้น  แตกต่างจากกรณี ที่เราเห็นคนในตึกใดตึกหนึ่ง จ่ายกระแสไฟฟ้าให้กับคนร้าย  หรือกระทำผิดเห็น ๆ  จึงต่างกัน  

“เหมือนในการปราบปรามยาเสพติด แม้เรารู้ว่ายาเสพติดไม่ดี  และเป็นเรื่องที่ต้องปราบปรามอย่างเด็ดขาด  เราจะสั่งฆ่าสั่งยิงใครโดยไม่ผ่านกระบวนการตามกฎหมายไม่ได้  ถึง แม้ใจเราอยากทำก็ไม่อาจทำได้ เพราะไม่ชอบด้วยกฎหมาย และผิดหลักการหลายอย่าง”

การแก้ปัญหาบ้านเรายังขัดแย้งโยนกันไปมา แต่จีนไม่รอช้าส่ง “หลิว จงอี”  ผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงและสาธารณะ สาธารณรัฐประชาชนจีน เดินทางลงพื้นที่ติดตามชายแดน ไทยเมียนมา ในพื้นที่ อำเภอแม่สอด  ซึ่งจุดตรงข้าม เป็นเมืองชเวโก๊กโก่ และเมือง เคเคพาร์ค ในฝั่งเมียนมา พร้อมร่วมหารือกับหน่วยงานทางการไทย ในความร่วมมือป้องกันปราบปรามการค้ามนุษย์ปัญหา คอลเซ็นเตอร์ การช่วยชาวจีนที่ตกเป็นเหยื่อ และ รวมถึงแนวทางการดำเนินการ ความร่วมระหว่างไทยและจีน 

อีกทั้ง“นายกฯอิ๊งค์” แพทองธาร ชินวัตร  เตรียมเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีน  พูดคุยกับสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีสาธารณรัฐประชาชนจีน ในโอกาสความสัมพันธ์ 50 ปี ไทยจีน ในวันที่ 5-8 ก.พ.นี้  และการพบครั้งนี้ “นายกฯอิ๊งค์” จะถือโอกาสหารือเกี่ยวกับการแก้ปัญหาแก็งคอลเซ็นเตอร์ด้วย เพราะประเทศจีนก็มีอิทธิพลต่อประเทศเมียรมา  

แต่ถึงอย่างไรล่าสุดรัฐบาลได้ออกฎหมายหามาตรการ การเปิดปฏิบัติการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติด “Seal Stop Safe” ที่ “บิ๊กอ้วน” ออกปากว่า เป็นแนวปฏิบัติสูงสุด ที่ทุกหน่วยต้องทำร่วมกัน เพื่อบูรณาการงานให้เป็นหน่วยเดียว เพิ่มการซีลชายแดนเพิ่มจากปกติ ใช้เวลา 6 เดือนในการประเมินผล

แผนนี้รัฐบาลมั่นใจว่าเป็นแผนที่เข้มที่ดีที่สุด สามารถแก้ปัญหาได้ แต่จะเป็นไปอย่างคำพูดหรือไม่ เพราะอย่าลืมว่าฝ่ายค้านจับจ้องอยู่เส้นทางไปต่ออาจยากลำบากมากขึ้นส่งผลกระทบ หากทำไม่สำเร็จ ไทยจะถูกลดลำดับชั้นเทียร์ไปอยู่เทียร์ 2 ส่งผลต่อเศรษฐกิจ ต่อการลงทุน

ขณะที่ปัญหาฝุ่นพิษ PM2.5 ก็เป็นประเด็นร้อนไม่แพ้กัน ที่ตอนนี้คนไทยจมฝุ่นอยู่ รัฐบาลต้องรีบเข้ามาแก้ไขอย่างด่วนๆ ไม่ใช่ว่าจะให้กลายเป็นวิกฤตที่คนไทยต้องยอมรับว่าฝุ่นคืออีก 1 ฤดูของเมืองไทย ส่งผลกระทบต่อทั้งชีวิตสุขภาพประชาชนคนไทย เป็นเมืองที่ไม่น่าอยู่ ที่ผ่านมารัฐบาลออกมาตรการใช้รถเมล์ รถไฟฟ้าฟรี 7 วัน หวังลดแรงกดดัน แต่กลับเป็นเพิ่มแรงกดดันให้กับประชาชนส่งผลต่อรัฐบาล เพราะเป็นเพียงการแก้ไขปัญหาปลายเหตุและแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเท่านั้น 

อีกหนึ่งประเด็น “เอ็นเตอร์เทนเม้นท์คอมเพล็กซ์” ที่ดูจะหนักหนาสาหัสที่สัดส่วน “กาสิโน”ยังไม่ชัดเจนอาจเป็นจุดอ่อนช่องโหว่ และอาจจะเป็นบ่อนการพนันของโลก  อาจถูกตราหน้าว่าเป็นเมืองบาป ซึ่งภาคประชาชนไม่พอใจออกมาคัดค้านไม่เห็นด้วย พร้อมล่ารายชื่อ 50,000 ชื่อเรียกร้องให้ทำประชามติ

ขณะที่พรรคร่วมรัฐบาลเองก็ยังแกว่งก็ไม่เอาด้วย ทั้ง หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา และ พรรคภูมิใจไทย ที่ออกมาค้านว่า ต้องทำให้ชัดเจน นอกจากนี้ยังอาจเป็นวาระร้อนในสภา ที่จะกลายเป็นวาระของพรรคร่วมรัฐบาล

นาทีนี้ก็เห็นแล้วว่าพรรคร่วมรัฐบาลต่างก็ถือดาบฟาด ถือหอก รอทิ่มแทงกันได้ตลอดเวลา สถานการณ์การเมืองไทยพร้อมเดือดได้ตลอดเส้นทางของอายุรัฐบาล ต้องจับตาดูว่า “รัฐบาลสูตรพิสดาร” จะเดินไปรอดได้อีกกี่อึดใจ