เป็นปัญหาต่อเนื่องมาทุกปีเมื่อเข้าสู่ฤดูฝุ่นพิษ PM 2.5 ที่สร้างความกังวลต่อการใช้ชีวิตและสุขภาพของประชาชนคนไทย จนล่าสุด “รัฐบาลพรรคเพื่อไทย”ต้องออกมาตรการด่วนเพื่อคลี่คลายสถานการณ์หลังค่าฝุ่นพุ่งสูงในช่วงเวลานี้ วันนี้ “คอลัมน์ตรวจการบ้าน” ต้องมาสนทนากับ “ปรีญาพร สุวรรณเกษ” อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หน่วยงานหลักที่คอยมอนิเตอร์ฝุ่นพิษว่าจะมีทางออกของปัญหานี้อย่างไร

โดย “อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ” เปิดประเด็นกล่าวถึงภาพรวมสถานการณ์ฝุ่น pm 2.5 ปีนี้ ว่า สถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 ปีนี้เกิดขึ้นเร็วกว่าที่เราคาดการณ์ไว้ และมีค่าฝุ่นสูงกว่าปีที่แล้ว จากการวิเคราะห์ร่วมกันพบว่า สาเหตุเกิดจากการเผาในพื้นที่เกษตรที่มากขึ้น โดยต้องดูตามพื้นที่ หากดูจากสถิติตลอดทั้งปี พบว่าสาเหตุคือการเผาในพื้นที่ป่าเป็นหลัก รองลงมา คือการเผาในพื้นที่เกษตร ตามมาด้วยยานพาหนะ แต่พอแยกตามรายภาค ภาคเหนือ เกิดจากการเผาป่า และพื้นที่เกษตร ส่วน กทม.และปริมณฑล พบว่ายานพาหนะเป็นสาเหตุหลัก และปีนี้มีปัจจัยเพิ่มเข้ามาคือการเผารอบ กทม. เยอะขึ้น และท้ายลมอยู่ที่ กทม.

ทั้งนี้สถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 ที่พุ่งสูงล่าสุดเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาเกิดจากการเผาภายในประเทศไทยเอง ซึ่งจุดความร้อนเพิ่มขึ้นกว่าช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้วจำนวนมาก การเผานาข้าวมากที่สุด เจอในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลางตอนบน ภาคเหนือตอนล่าง ส่วนที่สอง คือ อ้อย เจอในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลาง แต่ล่าสุดเริ่มเจอข้าวโพดแล้ว ในพื้นที่สูง ทางภาคเหนือ น่าน อุตรดิตถ์ เป็นต้น  และตอนนี้เทรนด์เริ่มไปทางพื้นที่ป่าแล้ว เริ่มมีการเผาในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ ป่าสงวนแห่งชาติเป็นการไปทำเกษตรในพื้นที่ป่าสงวนฯ 

               ที่ผ่านมากรมควบคุมมลพิษมีการเตรียมความพร้อมในการรับมือตั้งแต่หมดฤดูฝุ่นทางภาคเหนือในช่วงเดือน พ.ค. 67 ฝุ่นภาคเหนือจบ เราก็วิเคราะห์ว่าแหล่งกำเนิดเหมือนเดิมหรือไม่ ฝุ่นมากขึ้นหรือน้อยลง และแยกวิเคราะห์รายภูมิภาค พอได้มาตรการออกมาหลังการเดินสาย 4 ภาค ก็เจาะโฟกัสกรุ๊ป ในพื้นที่ป่าไม้ เกษตร และเมือง และนำมาฟังความคิดเห็นในภาพรวมของประเทศ ขณะที่กรมป่าไม้และกรมอุทยานฯ เน้นใน 14 กลุ่มป่าหลัก

“ก่อนนำเข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเมื่อเดือน ต.ค.67 เป็นจังหวะที่มีรัฐบาลใหม่เข้ามา ซึ่งนายกฯ ได้มอบนโยบายเรื่องฝุ่นเมื่อวันที่ 29 ต.ค.67เป็นครั้งแรก โดยคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติได้มอบหมายให้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมา 3 ระดับ คือ ระดับชาติ ระดับภาคและระดับจังหวัด โดยรัฐบาลให้ความสนใจและดำเนินการเรื่องนี้มาตลอด ไม่ได้นิ่งนอนใจ”

@สถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 เกิดขึ้นซ้ำซากทุกปีจะทำอย่างไรให้ประชาชนเข้าใจถึงสิ่งที่ภาครัฐกำลังทำอยู่

               เรื่องการสื่อสารเป็นสิ่งสำคัญ ต้องยอมรับว่าเราอ่อนด้อยเรื่องการสื่อสาร ไม่ค่อยให้ข่าวที่ตรงใจกับที่ประชาชนอยากรู้ ให้แต่สิ่งที่เรารู้ออกไป บางทีไม่สะท้อนมุมกลับมาว่า ประชาชนอยากได้อะไร เอาง่ายๆ เรื่องการดูค่าดัชนีคุณภาพอากาศ (AQI) กับ PM 2.5 จริงๆ แล้วเราควรจะอธิบายย้ำไปตั้งนานแล้ว ส่วนการที่ประชาชนไปติดตามการรายงานของแอพลิเคชั่นต่างประเทศมากกว่านั้น คิดว่าเราต้องอัดเรื่องการสื่อสารเข้าไปเยอะๆ เอาให้คนในกรมหรือกระทรวงเข้าใจก่อน เพื่อให้นำไปถ่ายทอดต่อได้ เรื่องที่ลงทุนน้อยแต่ได้ผลมากก็คือเรื่องสื่อสาร แต่เรายังไม่ได้เต็มที่กับเรื่องของการสื่อสาร

@ ฝุ่น PM 2.5 ถูกโยงไปเป็นปัญหาการเมืองมาตลอด และฝ่ายค้านจะมีการอภิปรายในสภาคพ.มองเรื่องนี้อย่างไร  

ปัญหาฝุ่นพิษ (PM2.5) เป็นปัญหาที่มีผลกระทบโดยตรงต่อประชาชนทุกกลุ่ม ทุกช่วงวัย และทุกภาคส่วนของประเทศ จึงเป็นเรื่องปกติที่ประเด็นนี้จะถูกหยิบยกขึ้นมาพูดคุยและอภิปรายในรัฐสภา เพราะสุดท้ายแล้วฝุ่น PM2.5 ไม่ใช่แค่เรื่องของสิ่งแวดล้อมเพียงอย่างเดียว แต่เกี่ยวข้องกับสุขภาพของประชาชน เศรษฐกิจ สังคม และนโยบายของภาครัฐ ดังนั้น การที่ฝ่ายค้านหรือฝ่ายใด ๆ จะนำเรื่องนี้มาพิจารณาในเชิงนโยบายถือเป็นสิ่งที่ดี เพราะช่วยให้เกิดการตรวจสอบและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเพื่อหาแนวทางแก้ไขที่มีประสิทธิภาพ

อย่างไรก็ตาม “รัฐบาล”ไม่ได้มองปัญหานี้เป็นเรื่องของการเมือง แต่มองว่าเป็น “ความท้าทาย” ของประเทศที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่าย ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และประชาชน เรามุ่งมั่นที่จะแก้ปัญหานี้อย่างเป็นระบบและยั่งยืน โดยมีมาตรการที่ชัดเจนและต่อเนื่อง ตั้งแต่การปรับปรุงมาตรฐานคุณภาพอากาศ การควบคุมแหล่งกำเนิดมลพิษในพื้นที่เมือง ป่า เกษตร ไปจนถึงการทำงานร่วมกับประเทศเพื่อนบ้านเพื่อลดหมอกควันข้ามพรมแดน

ถามว่าเป็นเรื่องการเมืองหรือไม่ มันก็เป็นเรื่องธรรมชาติของการเมือง ที่ต้องมีฝ่ายค้านกับฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายรัฐบาล ก็คือคนทำงานหน้างาน ณ ขณะที่ฝ่ายค้าน ก็คือคนที่คอยสอดส่องว่าสิ่งที่รัฐบาลทำใช่หรือไม่ หรือควรจะเป็นอย่างนั้นหรือไม่ แต่ดิฉันมองว่าทุกอย่างทำเพื่อประชาชนทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายรัฐบาลหรือฝ่ายค้าน ก็ทำเพื่อประชาชนไม่ให้ได้รับความเดือดร้อน การเมืองก็คือเป็นสิ่งที่เราเจออยู่แล้วเป็นประจำ เราก็รับในสิ่งที่ให้คำแนะนำ คำติชม หรือข้อคิดเห็นมาปรับการทำงานของเราจะดีกว่าหรือไม่ แทนที่จะไปมองเรื่องความขัดแย้ง

@ มีแผนระยะยาวอย่างไรเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดสถานการณ์ฝุ่นเหมือนที่ผ่านมา

            เราดำเนินการตามแผนมาทุกปี เพียงแต่ปีนี้กำชับให้ดำเนินการเข้มข้นมากขึ้นกว่าเดิม ไม่ว่าจะเป็นการใช้รถยูโร 5 ยูโร 6  เรื่องน้ำมัน เครื่องยนต์ เราก็วางแผนระยะยาวไปแล้ว ในระยะยาวเราก็อยากให้รถทั้งหมดเป็นรถไฟฟ้า ถ้าเป็นไปได้ ไม่ว่าจะเป็นรถสาธารณะ หรือ เอาง่าย ๆ รถของหน่วยงานราชการก็ควรจะเป็นรถไฟฟ้าเพื่อนำร่อง ส่วนการเผาในพื้นที่ป่า เป็นการทำผิดกฎหมายอยู่แล้ว เราก็รู้ว่าเขาเข้าไปเพื่ออะไร ดังนั้นคิดว่าสิ่งที่จะยั่งยืนที่สุดคือการให้ข้อมูลและพูดคุยกับเขาว่าสิ่งที่ทำนั้นไม่ถูกต้อง มองว่ามาตรการทุกอย่างมันมีมาทุกปีอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าเราจะหยิบมาใช้ให้เข้ากับบริบทของพื้นที่ สถานการณ์เศรษฐกิจและสังคมของประชาชนในขณะนั้นอย่างไร เรามุ่งเน้นเรื่องใดเป็นหลัก และมุ่งเป้าเป็นเรื่องๆ ไป คิดว่าทุกรัฐบาลวางแผนระยะยาวไว้หมดแล้ว แต่บางเรื่องยังทำไม่ได้หรือบางเรื่องทำได้แต่ว่ายังไม่ถูกชูขึ้นมาให้เป็นประเด็นหลัก

@ทำอย่างไรจะแก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 ได้อย่างแท้จริง

หัวใจของความสำเร็จในการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 อยู่ที่ ‘การบูรณาการความร่วมมือ’ ระหว่างหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ภาควิชาการ สื่อมวลชน ภาคประชาชน ตลอดจนผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่เกี่ยวข้อง มาทำงานร่วมกันเพื่อแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองอย่างเป็นระบบ สิ่งสำคัญ คือเราต้องเข้าใจว่า ทุกคนมีส่วนในการก่อให้เกิดฝุ่นละออง และในขณะเดียวกัน เราทุกคนก็สามารถเป็นส่วนหนึ่งของการแก้ไขปัญหานี้ได้ ในส่วนภาครัฐต้องเข้มข้นกับมาตรการที่ถืออยู่ในมือของตัวเอง มีอำนาจหน้าที่อย่างไรก็ทำให้เต็มที่ เชื่อว่าฝุ่น PM 2.5 จะลดลงได้