สารพัดเหตุสารพัดปัจจัย ที่เป็นต้นเหตุของฝุ่นพิษ ไม่ใช่เพิ่งเกิด แต่เกิดมานานแล้ว ทั้งการกระทำของประชาชนคนทั้งประเทศเอง รวมไปถึงผลกระทบที่มาจากเพื่อนบ้าน

ปัญหาอยู่ที่ว่า… คนที่มีอำนาจ มีความสามารถในการจัดการ แก้ไขปัญหา เรื่องนี้ได้ดีมากน้อยเพียงใด ต่อให้นายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ได้ออกมาประกาศว่าปัญหาฝุ่นพิษ ไม่ใช่เพียงแค่ “วาระแห่งชาติ” เท่านั้น

แต่!! ได้กลายเป็น “วาระอาเซียน” ไปแล้ว ก็ตาม!!

แม้เวลานี้โชคจะช่วยจากผลกระทบของความกดอากาศสูงจากจีนระลอกใหม่ที่เคลื่อนเข้ามาในไทย จนทำให้ลมหนาวเข้ามาช่วยพัดพาฝุ่นพิษออกไปได้บ้าง แต่ลมหนาวระลอกใหม่ไม่ได้เข้ามาอยู่เป็นเดือนซะเมื่อไหร่ เพียงเข้ามาแค่ 2 วันเท่านั้น

ด้วยเหตุนี้ ประชาชนคนไทยทั้งประเทศจึงได้แต่นั่งเฝ้ารอว่า ผู้มีอำนาจจะจัดการปัญหานี้อย่างไร เพราะต้องยอมรับว่าทุกฝ่ายทุนคนต่างรับรู้กันอยู่แล้วว่า ประเทศไทยต้องเผชิญปัญหาฝุ่นพิษนี้แน่ ๆ

ที่สำคัญ ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เลยกับปัญหาฝุ่นพิษนี้  ทำให้เกิดค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ ทั้งในเรื่องของการรักษาอาการเจ็บป่วย รวมถึงค่าใช้จ่ายอื่นๆ

หากพูดกันในเรื่องของการดูแลด้านสุขภาพ ก็ต้องมีค่าใช้จ่ายในเรื่องของหน้ากากอนามัย เครื่องฟอกอากาศที่ประชาชนผู้บริโภค ต้องควักเนื้อ ควักกระเป๋า เสียเงินเพิ่มขึ้น เพื่อแลกกับสุขภาพที่ดี

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้ประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจเบื้องต้น โดยใช้สมมติฐานว่า คนกรุงเทพฯ ป่วยเป็นโรคภูมิแพ้ หรือโรคระบบทางเดินหายใจไม่ต่ำกว่า 2.4 ล้านคน และประมาณ 50% ของจำนวนผู้ป่วยโรคภูมิแพ้  อาจมีอาการเจ็บป่วยจนจำเป็นต้องเดินทางไปพบแพทย์ในช่วงนี้อย่างน้อยเดือนละ1 ครั้ง

โดยในการไปพบแพทย์ ก็ต้องมีค่ารักษา มีค่าเดินทาง คิดง่าย ๆ เฉลี่ยต่อคนก็ตกประมาณ 1,800-2,000 บาท ขณะเดียวกัน ประชาชนทั่วไปก็อาจมีค่าใช้จ่ายในการดูแลป้องกันสุขภาพเพิ่มขึ้น

ค่าใช้จ่ายเหล่านี้… ส่งผลให้เกิดค่าเสียโอกาสจากประเด็นด้านสุขภาพ ทั้งการรักษา และการป้องกัน อยู่ที่ประมาณ  3,000 ล้านบาท ในช่วง 1 เดือน

ไม่เพียงเท่านี้…หากรวมกิจกรรมทางเศรษฐกิจอื่น เช่น การหลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมกลางแจ้ง การทำงานที่บ้าน การหยุดเรียน หรือแม้แต่การออกไปท่องเที่ยว

แถมหากขมวดรวมเข้าไปกับผลกระทบที่เกิดในพื้นที่อื่น ๆ ค่าเสียโอกาสทางเศรษฐกิจก็จะยิ่งสูงขึ้น ยิ่งมากขึ้นกว่านี้เข้าไปอีก

แต่เหนือสิ่งอื่นใด ที่ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินไว้ หากมองให้ลึกไปจนถึงปัญหาเรื่องสุขภาพของประชาชนที่ได้รับผลกระทบ ซึ่งเวลานี้ ไม่ใช่เพียงแค่ผลกระทบต่อมนุษย์ เท่านั้น แต่ยังบานปลายลุกลามไปถึงสัตว์เลี้ยง ที่ในระยะยาว อาจกลายเป็นโรคเรื้อรังเข้าให้อีก

หรือแม้แต่…ภาพรวมของประเทศ ที่รัฐบาลตั้งความหวังให้ไทยเป็นศูนย์กลางทาธุรกิจ เป็นศูนย์กลางทางการเงิน และอีกสารพัดศูนย์กลาง 

หากปัญหานี้ไม่มีทางออก ไม่ได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง แบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ไม่ใช่เพียงแค่ “สุกเอาเผากิน” หรือผ้าเอาหน้ารอดไปวัน ๆ

ความฝัน ความหวัง สารพัด ก็อาจมีอันต้องฝันสลายไปในที่สุด ก็เป็นไปได้!.

……………………………………….
คอลัมน์ : เศรษฐกิจจานร้อน
โดย “ช่อชมพู”

อ่านบทความทั้งหมดคลิกที่นี่