ชื่นมื่นกันทั่วไทยสำหรับกลุ่มคู่รัก LBGTG+ ได้ตบเท้าจูงมือเดินทางเข้าจดทะเบียน “สมรสเท่าเทียม” กันคึกคักในวันที่ 23 มกราคมที่ผ่านมา ซึ่งวันแรกมีคู่รักทะเบียน สมรสเท่าเทียม ยอด ณ เวลา 18.00 น.อยู่ที่ 2,792 คู่ แบ่งเป็นคู่รักเพศเดียวกัน 1,832 คู่ (ชาย-ชาย 616 คู่, หญิง-หญิง 1,216 คู่) และคู่รักชาย-หญิง 960 คู่ ตอบรับกับพ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ 24) พ.ศ. 2567 หรือ “กฎหมายสมรสเท่าเทียม”

ซึ่งประเทศไทยถือเป็นประเทศที่ 37 ของโลก เป็นประเทศที่ 3 ในเอเชีย และเป็นประเทศแรกในภูมิภาคอาเซียน ที่มี “สมรสเท่าเทียม” ที่รัฐบาลตั้งเป้าจะเป็นอีกหนึ่งจุดขายสำหรับประเทศไทยในเรื่องของการบูมการท่องเที่ยว เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ

ขณะที่ “ผู้สูงอายุ” เตรียมใช้เงินหมื่น ที่รัฐบาลได้กำหนดกดปุ่มแจกเฟส 2 ในวันที่27 มกราคม หลังจากที่รอมานาน

ท่ามกลางการสำลักฝุ่นจนเลือดกำเดา กระฉอกของคนไทยเกือบทั้งประเทศ จากค่าฝุ่น PM 2.5 ฟุ้งกระจายวิกฤติหนัก จนหลายเสียงออกมากดดันให้รัฐบาลออกมาตรการมีแผนวางแนวทางในการแก้ไขปัญหาระยะยาว เพื่อป้องกันปัญหาสุขภาพคนไทยเสี่ยงต่อโรคร้าย โดยเฉพาะโรคมะเร็งปอดจากสารเคมี สารพิษผสมฝุ่นจิ๋ว ทะลุทะลวงลำคอไปถึงปอดโดยเฉพาะฝ่ายค้าน

ทำเอา“นายกฯอิ๊งค์” “แพทองธาร ชินวัตร” นั่งไม่ติดต้องวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ ระหว่างเดินทางไปเข้าร่วมการประชุม World Economic Forum ประจำปี 2568 (WEF Annual Meeting 2025: WEF AM25) ระหว่างวันที่ 20-25 มกราคม 2568 ณ เมืองดาวอส สมาพันธรัฐสวิส โต้ว่าเรื่องแก้ฝุ่นพิษถือเป็นวาระแห่งชาติ รัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจ และได้สั่งการให้ “เสี่ยหนู” “อนุทิน ชาญวีรกูล” รองนายกฯและรมว.มหาดไทย ในฐานะผู้บัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติให้บริหารสถานการณ์ฝุ่นควัน และเร่งจัดตั้งศูนย์ที่ทำหน้าที่สื่อสารให้ข้อมูลกับประชาชน ร่วมมือกับ “ประเสริฐ จันทรรวงทอง” รองนายกฯและรมว.ดีอี ในฐานะประธานคณะกรรมการอำนวยการเพื่อการจัดการปัญหามลพิษทางอากาศ กำหนดมาตรการเฉพาะหน้า เพื่อบรรเทาสถานการณ์โดยเร็ว และให้ รมว.ต่างประเทศ ประสานกับรัฐมนตรีอาเซียน ขอความร่วมมือแก้ปัญหาเรื่องนี้ร่วมกัน

ขณะที่ “ขิง” ‘เอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รมว.อุตสาหกรรม’ ลุกขึ้นแฉกลางสภาผู้แทนราษฏร ถูกนายทุนอุตสาหกรรมเหล็กตั้งค่าหัวย้ายออกจาก‘รัฐมนตรี’ มีค่าตัว 200-300 ล้าน หลังเข้มงวดแก้ปัญหาในภาคอุตสาหกรรม พร้อมแจงกรณีสั่งปิดโรงงานน้ำตาลไทยอุดรธานี เป็นภารกิจของรัฐบาล เพื่อลดปัญหาฝุ่นPM2.5 ซึ่งเป็นปัญหาระดับประเทศ โดยการแก้ปัญหาดังกล่าวไม่เลือกปฏิบัติ ไม่มีเส้นแบ่งระหว่างพรรคการเมืองหรือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงใด แต่เป็นภารกิจที่นายกรัฐมนตรี ให้ความสำคัญ

สภาพปัญหาตอนนี้ของรัฐบาลเป็นเพียงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเท่านั้น ทำให้ประชาชนต้องเผชิญกับความเสี่ยงเรื่องสุขภาพรายปีกับฤดูฝุ่นที่มากับช่วงหน้าหนาวถือเป็นโจทย์ท้าทายของ “รัฐบาลนายกฯอิ๊งค์”

 ส่วนการเมืองไทยยังเดือดไม่หยุดกลับ “นายใหญ่ ทักษิณ ชินวัตร” นำทัพชักธงรบสู้ศึกเลือกตั้งนายกฯและสมาชิกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.)แม้จะเจอดี โดนป้าเสื้อแดงไม่พอใจปาถุงขยะใส่ระหว่างปราศรัยอยู่กลางเวที ที่ศูนย์ประสานงานพรรคเพื่อไทย อ.พยัคฆภูมิพิสัย จ.มหาสารคาม

แต่ “นายใหญ่ ทักษิณ” ไม่หวั่นยังเดินหน้าลงพื้นที่อย่างต่อเนื่องหมุดหมาย วันที่ 24-25 มกราคม เดินทางลงพื้นที่ไป จ.ศรีสะเกษ ตั้งเวทีอาศัยปากเป็นอาวุธเป้าหมาย คือ ทวงคืนพื้นที่คนเสื้อแดง สยายปีกพาพรรคเพื่อไทยชนะสงครามครั้งใหม่ในการเลือกตั้งปี 2570 หากรัฐบาลอยู่ครบเทอม

เป้าหมายตอนนี้ที่ได้แบบเต็มๆเห็นกันชัดๆ คือการกางปีกป้อง “นายกฯอิ๊งค์” ลูกน้อยที่เป็นกล่องดวงใจ “นายใหญ่ ทักษิณ” ที่ก่อนหน้านี้ถูกถล่มลุมทึ้ง ดึงลงสู่เกมการเมืองร้อนจนแทบไปไม่เป็น

จึงต้องออกมาขยับฝีปาก ฟาดพวกฝ่ายแค้นและพวกนักร้องซ่อนเงื่อน แต่คงหยุดไม่ได้ เพราะน่าจะกลายเป็นการเติมเชื้อไฟปลุกฝ่ายค้าน ฝ่ายแค้น อีกทั้งแกนนำคู่ปรับเก่าทั้งเหลืองแดง พร้อมใจกันดาหน้าออกมาเขย่าบัลลังก์ “ตระกูลชิน” ไม่เว้นแต่ละวัน ทั้งขุดคดีเก่าอัลไพล์ขึ้นมาหลอน

ล่าสุด “คปท.” ผนึก 4 กลุ่ม ประกอบด้วย กลุ่มเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) , ศูนย์รวมประชาชนปกป้องสถาบัน (ศปปส.) , กองทัพธรรม และอดีตแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ยื่นหนังสือหน้าทำเนียบรัฐบาล เพื่อแสดงจุดยืน เรียกร้องขอให้ “นายกฯอิ๊งค์”ใช้อำนาจนายกรัฐมนตรี ร่วมสะสางคดีบริหารกระบวนการบังคับโทษ “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี ให้เป็นที่ยุติ

เพราะกรณี “ทักษิณ” รักษาตัวที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ มีการช่วยเหลือให้มีการหลีกเลี่ยงในการดำเนินการตามขั้นตอนของกระบวนการกฎหมาย หรือไม่ เพราะตั้งแต่เดินทางกลับเข้ามารับโทษในประเทศไทย เมื่อวันที่ 22 ส.ค.2566 ยังไม่เห็น “ทักษิณ”เข้าคุกสักวันเดียว จี้“นายกฯอิ๊งค์”ส่งขอเวชระเบียนของ “ทักษิณ”มาให้กับทางคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)ตรวจสอบด้วย เพื่อให้เข้าสู่ระบบกระบวนการยุติธรรม ตามหลักนิติรัฐ นิติธรรม

โดย “ตู่” จตุพร ออกมาประกาศด้วยว่า ปัจจุบันคณะกรรมการ ป.ป.ช. ยังคงทำหน้าที่เหมือนเดิม หากองค์กรทำตามหน้าที่ ประชาชนคงไม่ต้องเดือดร้อนมาลงถนน แต่เมื่อไม่มีการทำหน้าที่ของหน่วยงานจริงๆ จึงเป็นหน้าที่ของพวกประชาชนคนไทย ที่ต้องลุกขึ้นมาจัดการในเรื่องนี้

ดูแล้วไม่จบง่ายเพราะคนที่ไปร่วมแสดงจุดยืน ล้วนแล้วเป็นตัวจี๊ดด้วยกันทั้งนั้น อาทิ พิชิต ไชยมงคล , จตุพร พรหมพันธุ์ , แก้วสรร อติโพธิ , เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง , นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม , นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ , พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม , ประสาร มฤคพิทักษ์ , ชาญชัย อิสระเสนารักษ์ , ปรีดา เตียสุวรรณ์ , แซมดิน เลิศบุศย์ , เสน่ห์ หงษ์ทอง , เจษฎ์ โทณะวณิก , นิติธร ล้ำเหลือ (ทนายนกเขา) , อานนท์ กลิ่นแก้ว

เห็นแล้วน่าหวาดเสียว เพราะจากการรวมพล 4 กลุ่มที่ไปยื่นหนังสือหน้าทำเนียบรัฐบาล เรียกร้องถึงกระบวนการยุติธรรม ที่ต้องเดินหน้าด้วยความยุติธรรม ถึงแม้ตอนนี้จะดูยังไม่มีพลัง แต่ก็จะเป็นแต้มสะสมรอวันสุขงอม

อย่าลืมว่า รัฐบาลยังมีอีกหลายเรื่องที่เป็นระเบิดเวลาทั้งเรื่อง “ที่ดินอัลไพน์” ที่กรมที่ดินได้เซ็นคำสั่งเพิกถอนแล้ว รัฐบาลต้องหาเงินมาเยียวยา ซึ่งรัฐจะเอาเงินมาจากไหน

นอกจากนี้ยังมีเรื่องของ “เอ็นเตอร์เทนเม้นต์คอมเพล็ก” ที่จะมีการทำบ่อนการพนันถูกกฎหมาย “กาสิโน”รวมเข้าไปด้วย ซึ่งมีเสียงคัดค้านเป็นจำนวนมาก ประเทศไทยจะได้ไม่คุ้มเสีย

อย่างประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.)การปกครอง สภาผู้แทนราษฎร“กรวีร์ ปริศนานันทกุล” สส.อ่างทอง พรรคภูมิใจไทย ก็ออกมาเล่นเกมยืนบนฝั่งที่ไม่เห็นด้วย “ไม่อยากให้รัฐบาลมองประโยชน์เพียงด้านเดียว หรือมองมิติด้านเศรษฐกิจที่กระตุ้นการท่องเที่ยว การสร้างรายได้ให้กับประเทศเพียงอย่างเดียว ทางกรรมาธิการฝากประเด็นไปว่าต้องการให้คำนึงถึงผลกระทบต่อสังคมที่จะตามมาด้วย หากจะทำต้องมีความรอบคอบ” 

หลังจากนี้ต้องจับตาการเมืองร้อน ที่สวนกระแสกับสภาพอากาศ ว่ารัฐบาลจะฝ่าด่านต้านแรงลมที่รอก่อตัวเป็นพายุ และไม่สะดุดขาตัวเองในเรื่องนโยบายเรืองธงไปได้อย่างไร.