หนึ่งเรื่องที่สังคมวิจารณ์อย่างเผ็ดร้อนตอนนี้ หลังคณะรัฐมนตรีไฟเขียวให้เดินหน้าดำเนินโครงการ “เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์” ที่นำกาสิโนรวมอยู่ด้วย มีทั้งคนเห็นด้วย และไม่เห็นด้วย “คอลัมน์ตรวจการบ้าน” จึงต้องมาสนทนากับ ดร.สติธร ธนานิธิโชติ ผู้อำนวยการสำนักนวัตกรรมเพื่อประชาธิปไตย สถาบันพระปกเกล้า มีการวิเคราะห์นโยบายเรือธงของรัฐบาลเรื่องนี้ ประเทศมีความจำเป็นต้องมีหรือไม่

โดย “ดร.สติธร” เปิดประเด็นว่า  ตอนนี้มองแล้วว่า เอาจริงๆ ตอนนี้เราต้องการอะไรก็ได้ที่กระตุ้นเศรษฐกิจได้ “เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์” ก็เป็นตัวเลือกหนึ่ง เพราะจะกระตุ้นเศรษฐกิจได้เร็ว เลยถูกรัฐบาลชูขึ้นมา แต่จะได้ผลจริงๆ หรือไม่ก็ยังต้องพิสูจน์ เพราะไม่ใช่แค่เรื่อง “เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์” แต่ในนั้นจะมี “กาสิโน” ที่รัฐบาลบอกว่าเป็นเพียงส่วนเล็กๆ นั้น แต่ส่วนเล็กๆ นั่นแหละที่แตกต่างจากเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ทั่วไป ซึ่งในประเทศมีมากอยู่แล้ว

“ตัวนี้เป็นจุดที่ต้องวัดกัน เพราะเมื่อประกอบร่างกับเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ แล้วจะเป็นตัวเปลี่ยนผลลัพธ์ได้ขนาดไหน”

@ มีการวิเคราะห์ร่างกฎหมายนโยบาย ผิดจากที่คุยเรื่องเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ไปลดสเปกจนกลายเป็นเพียงบ่อนการพนันแห่งหนึ่ง

ส่วนตัวยังไม่เคยเห็นร่างฯ แต่เคยฟังคนวิจารณ์ว่าออกมาประมาณนั้น แล้วคนก็โฟกัสส่วนนี้ แม้กระทั่งคนที่ออกมาอธิบายแทนรัฐบาลก็บอกว่า นี่เป็นส่วนน้อย 4-5% จากทั้งก้อน และต่อให้เป็นเพียงส่วนประกอบเล็กๆ คนก็จะโฟกัสที่ “กาสิโน” อยู่ดี เพราะอย่างอื่นประเทศไทยมีหมดแล้ว

“ถ้าจะมี “เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์” อีกโดยที่ไม่มี “กาสิโน” ก็ไม่มีอะไรแปลกใหม่ จึงหวังเพิ่ม “กาสิโน” เข้าไปจะเป็นตัวทำให้ “เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์” แห่งนี้ดึงดูดนักท่องเที่ยว ดึงดูดรายได้ จัดระเบียบสังคมได้โดยเอาธุรกิจใต้ดินขึ้นมา เขาก็คิดฝันไปทางนั้น”  

@ การเอาสิ่งที่อยู่ใต้ดินมาควบคุมบนดินจะได้ผลจริงหรือไม่ ทั้งการควบคุม และการกระตุ้นเศรษฐกิจ

วันนี้ต้องดู 1. แง่เศรษฐกิจการมี “กาสิโน” ในประเทศไทย ที่น่าคิด คือ ในย่านนี้ไม่ใช่แค่ “ประเทศไทย” ที่มี “กาสิโน” แต่ “ประเทศสิงคโปร์” ก็มีแล้ว และยังมีการพนันรูปแบบอื่นๆ ในกัมพูชา เมียนมา ลาว

รัฐบาลอาจจะบอกว่าใช้โมเดลของ “สิงคโปร์” มาที่เมืองไทย จะได้ดึงเรื่องอื่นเข้ามาเติม แต่จะได้แค่ไหน เพราะในขณะที่รอบบ้านเรา ก็เสรีประมาณหนึ่งแล้ว แล้ว “กาสิโน” ใช่สิ่งที่จะมาเติมจุดแข็งของไทยหรือเปล่า เพราะเราขายธรรมชาติ โบราณสถาน

“เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์โมเดลแบบนั้นเหมาะกับประเทศที่ไม่มีทรัพยากรการท่องเที่ยวมากกว่า ขณะที่ประเทศไทยที่มีทรัพยากรเต็มไม้เต็มมือ ก็เกิดคำถามว่าจะมากระตุ้นเศรษฐกิจได้ขนาดไหน ในเมื่อฐานการท่องเที่ยวเราแข็งอยู่แล้ว หรือไปเจาะกลุ่มลูกค้าใหม่น่าจะเพิ่มมูลค่าได้เองโดยไม่ต้องพึ่งกาสิโน หรือเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์”

2. ระยะยาวสร้างผลกระทบแน่ และที่บอกว่าจะเอาเศรษฐกิจใต้ดินมาบนดิน นี่เป็นการเปลี่ยนวิถีของสังคม วัฒนธรรมการพนัน ในแง่ผลกระทบทางสังคมไม่ได้เปลี่ยนมาก ถ้าจะทำให้ “เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์” หรือ “กาสิโน” แก้ปัญหาเชิงสังคมและเศรษฐกิจได้จริง คุณก็ต้องสร้างความเชื่อมั่นเรื่องการบังคับใช้กฎหมายให้คนเชื่อว่าจะบังคับใช้อย่างเข้มงวดจริงจัง จนคนเล่นการพนันแบบผิดกฎหมายทั้งออนไลน์ ตามบ้าน ตามตึกต้องไม่ได้ นี่ถึงจะเปลี่ยนได้จริง

แต่ถามว่าทำได้จริงหรือไม่ คนที่เขาคัดค้านเขาก็รู้อยู่ว่ารากของปัญหามันคือตัวนี้ หากถูกพิสูจน์ได้ว่า กฎหมายเอาจริงเอาจัง “กาสิโน” คงเกิดขึ้นในประเทศไทยนานแล้ว แต่นี่คนเขาไม่เชื่อถือ แล้วถ้ากระทบชิ่งไปที่เศรษฐกิจก็ไม่ได้แปลว่า เมื่อเอาขึ้นมาบนดินแล้วจะเป็นเศรษฐกิจที่รัฐสามารถเก็บผลประโยชน์ได้จากภาษี อาจจะซ่อนอยู่ใต้ดินอยู่ดี ส่วนตัวคิดว่า เอาขึ้นมาบนดินแล้วก็คุมไม่ได้เพราะวันนี้ภูมิทัศน์ของการพนันเปลี่ยนไปเยอะ โดยเฉพาะออนไลน์ ซึ่งเกินขอบเขตที่รัฐบาลจะเอื้อมถึง ถ้าไม่เอาจริงจังแบบจัดๆ

@ เรื่องนี้คิดว่าจะสามารถทำให้คนไทยมีชีวิตการเป็นอยู่ที่ดี จากการจ้างงานจริงหรือไม่   

ถ้าลงทุนเรื่องนี้เพื่อให้เกิดการจ้างงาน คำถาม คือ คุณจ้างใคร หรือจะลดต้นทุนโดยการจ้างแรงงานต่างด้าวอีก คนไทยก็ไม่ถูกจ้างอยู่ดี แล้วถ้าพูดในสเกลใหญ่คือ “เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์” แปลว่าจะสร้างแหล่งชอปปิงใหญ่ระดับโลกก็ถามอีกว่าจ้างคนไทยหรือไม่ แม้กระทั้งเรื่องการก่อสร้างสถานที่ใช้บริษัทไทยก็จริง แต่คนงานใช่คนไทยหรือเปล่า

ยิ่งระบบการบริหารจัดการ รัฐบาลก็พูดเองด้วยว่า ต้องเอาบริษัทระดับโลกมา ซึ่งก็ไม่ใช่คนไทยอยู่แล้ว แปลว่าคนไทยจะได้แค่เบี้ยบ้ายรายทาง ว่า ตั้งแล้วบริเวณโดยรอบจะเกิดความคึกคัก ซึ่งไม่ได้แตกต่างจากการสร้างอะไรบางอย่างขึ้นมาแล้วทำให้เศรษฐกิจคึกคัก

“ดังนั้นพอคลี่ดูแล้วผลประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจที่ได้เป็นเรื่องทางอ้อม แต่ผลกระทบเชิงลบด้านสังคมจะมากกว่า เพราะเป็นแหล่งบันเทิงก็จะโยงใยไปเรื่องอื่นอีกมาก คนติดพนัน และเชื่อมโยงสิ่งผิดกฎหมายอื่นๆ และนำมาซึ่งปัญหาอาชญากรรม นี่คือสิ่งที่ถูกตั้งคำถามว่ามีมาตรการรองรับหรือไม่”

 @ รัฐบาลมองคนต่อต้านว่าเป็นกลุ่มเสียผลประโยชน์

คงมีหลายส่วน โอเคว่า คนที่อยู่ในธุรกิจใต้ดินอาจมองว่า ถูกแย่งส่วนแบ่งทางการตลาด ถูกปราบปราม ควบคุมมากขึ้น หรือหากรัฐไม่ตรงไปตรงมาก็มีสิ่งที่ต้องจ่ายในรูปแบบของสินบนเพิ่มขึ้น

แต่อีกกลุ่มหนึ่งคือคนที่ไม่เอาเรื่องกาสิโนจริงๆ โดยมองผลกระทบทางด้านสังคมเป็นหลัก เมื่อชั่งน้ำหนักกับผลตอบแทนทางเศรษฐกิจแล้วรู้สึกว่าได้ไม่คุ้มเสียเลยไม่เห็นด้วย

ส่วนที่มีการวิจารณ์ว่า มีการล็อกสเปกให้คนบางกลุ่ม ก็เป็นข้อกังวลหนึ่ง เพราะการทำเมกะโปรเจกต์ของรัฐบาลควรจะกระจายผลประโยชน์ให้ทั่วถึง ถ้าไปกระจุกตัวก็กลายเป็นล้ำผลประโยชน์ของคนอื่น แล้วดูดมากระจุกที่ผูกอยู่กับรัฐบาล ซึ่งเป็นรัฐบาลที่ผูกอยู่กับผลประโยชน์ของคนบางกลุ่มอีก คนจึงกังวลเป็นธรรมดา

@ มองแล้วนโยบายนี้จะเอื้อในสัดส่วนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจแบบถูกกฎหมายหรือกลุ่มคนสีเทา

รัฐบาลไม่ได้เลือกว่าเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจขาว สีเทา สีดำมากกว่ากัน แต่เท่าที่ดูเขาต้องการอะไรที่ควิกวิน โดยไม่เกี่ยงสี เลือกจากผลลัพธ์ที่เขาเชื่อว่าถ้าใช้เครื่องมือนี้จะกระตุ้นได้เร็วแรง เพราะเขาหวังผลสำเร็จรวดเร็วเฉพาะหน้า มากกว่าลงนโยบายที่ได้ผลลัพธ์ระยะยาว เพราะเดิมพันการเมืองเขาสูง เขาต้องการเห็นผลทันเลือกตั้งปี 2570 ดังนั้นเขารอไม่ไหวกับนโยบายที่จะออกดอกออกผลอีก 5 ปี 10 ปี เราเลยเห็นภาพนโยบายประเภทนี้ออกมา และบางครั้งก็ออกมาโทนสีเทาไป

“จริงๆ การเอาสิ่งที่อยู่ใต้ดินมาอยู่บนดินเพื่อให้มีการควบคุมนั้นไม่ได้ปฏิเสธหมด แต่วันนี้พอมาคิดถึงโมเดลว่า “กาสิโน” ตอบโจทย์ไหม มันก็ตอบไม่ค่อยชัด ตอบยากกว่าเดิมเยอะ เพราะเรามาทำนโยบายนี้ช้าไป ถ้าเป็นวิกฤติต้มยำกุ้งแล้วสร้าง “กาสิโน” ก็ยังพอทัน แต่ตอนนี้ผ่านมาเกือบ 30 ปี วันนี้โลก “กาสิโน” เสรี เราตามเขาไม่ทัน จนทำให้การเสี่ยงลงทุนเรื่องพวกนี้ได้ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจกลับมาน้อย ไม่คุ้มกับผลกระทบทางสังคม”