หนึ่งในนโยบายของรัฐบาลทุกยุคทุกสมัยที่ถือว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งและยังเชื่อมโยงกับการบริหารประเทศในด้านต่างๆ คือนโยบายด้านการต่างประเทศ และการดำเนินความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างประเทศ ส่งผลให้กระทรวงการต่างประเทศ เป็นหน่วยงานที่รับบทหนักและถูกจับตาเสมอมา เช่นเดียวกับปัจจุบัน ในยุครัฐมนตรีเจ้ากระทรวงที่ชื่อ “มาริษ เสงี่ยมพงษ์” ยังต้องเผชิญกับสถานการณ์มากมายทั้งในและนอกประเทศ
“รัศม์ ชาลีจันทร์” ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการต่างประเทศ และอดีตเอกอัครราชทูตไทย ให้สัมภาษณ์รายการ Dailynews Talk ทางช่องยูทูบ Dailynews Online ถึงภาพรวมของภารกิจของกระทรวงการต่างประเทศ และการวางตัวของประเทศไทย ท่ามกลางการแข่งขันในด้านภูมิรัฐศาสตร์ ว่า ปี 2568 ถือเป็นปีที่โลกมีการเปลี่ยนแปลงในด้านภูมิรัฐศาสตร์พอสมควร ซึ่งส่วนหนึ่งที่สำคัญเป็นผลมาจากการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา โดย “โดนัลด์ ทรัมป์” กำลังจะเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในวันที่ 20 ม.ค.นี้ หลายฝ่ายคาดว่าสหรัฐฯ คงจะมีการเปลี่ยนแปลงนโยบายที่ส่งผลกระทบต่อโลกพอสมควร จึงเป็นเรื่องที่ไทยและทุกประเทศต้องจับตามอง
อย่างไรก็ตาม ทุกครั้งที่มีวิกฤต ก็ต้องมีโอกาสควบคู่กัน ซึ่งขึ้นอยู่ที่ว่าเราจะสามารถฉกฉวยโอกาสนี้ได้มากน้อยแค่ไหน และสามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงมากน้อยแค่ไหน ดังนั้น ภารกิจหลักของกระทรวงการต่างประเทศในปีนี้ คือการมีแผนรับมือกับการเปลี่ยนแปลง และการสร้างสมดุลทางอำนาจกับประเทศต่างๆ เพราะประเทศไทยมีจุดเด่น คือไม่มีความขัดแย้งขั้นรุนแรงกับประเทศใดประเทศหนึ่ง และมีความสัมพันธ์ที่ดีกับทุกประเทศ ดังนั้น นโยบายการต่างประเทศเชิงรุกของเราในปัจจุบัน คือเราไม่วางตัวต้องเป็นค่ายไหน แต่ต้องยืนอยู่บนหลักการที่ถูกต้อง ยึดผลประโยชน์ของประเทศ และถือหลักกฎหมายระหว่างประเทศเป็นเกราะกำบังของไทย
สำหรับไทยกับสหรัฐฯ มีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งระหว่างกันยาวนาน 190 ปี ครอบคลุมทุกด้าน และไทยเป็นพันธมิตรที่เก่าแก่ที่สุดของสหรัฐฯในทวีปเอเชีย และล่าสุดเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทยได้ย้ำว่าทั้ง 2 ประเทศจะเพิ่มความร่วมมือกัน ไม่ว่าจะเกิดสถานการณ์ใดก็ตาม ขณะเดียวกัน เรายังรักษาความสัมพันธ์กับประเทศมหาอำนาจอื่นๆ อย่างเช่น จีนก็เป็นประเทศคู่ค้าที่สำคัญอันดับ 1 ของไทยในปัจจุบัน “ไทยและจีน” มีความสัมพันธ์ทางประวัติศาสตร์มานาน รวมถึง การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีน จะครบรอบ 50 ปีในปีนี้ ซึ่งตลอดเวลาที่ผ่านมา มีการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างกันมาตลอด ส่วนกรณีของรัสเซียกับยูเครนนั้น แม้ไทยเป็นมิตรกับรัสเซีย แต่เราต้องวางตัวและยึดถือเรื่องกฎหมายระหว่างประเทศ
นอกจากนี้ ไทยได้สมัครเป็นสมาชิกขององค์การ เพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (โออีซีดี) และเข้าเป็นประเทศหุ้นส่วนของกลุ่ม BRICS ที่เป็นกรอบความร่วมมือของประเทศกำลังพัฒนาใต้-ใต้ด้วยกัน ซึ่งเราจะเป็นสะพานเชื่อมให้เกิดความเข้าใจกันในทุกเวที เพื่อประโยชน์ของไทยและของประชาคมโลก อีกทั้ง การที่ประเทศไทยกลับสู่ความเป็นประชาธิปไตย ช่วยให้เรารักษาดุลอำนาจกับต่างประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อรักษาผลประโยชน์สูงสุดของไทย
@ ความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านเป็นอย่างไร ขณะนี้เกิดประเด็นหลายเรื่อง ทั้งเรื่อง 4 ลูกเรือไทย กลุ่มว้าแดง เรื่องเอ็มโอยูไทย-กัมพูชา ปี 2544
ตามปกติ เวลาที่เหตุการณ์อะไรในประเทศนั้นๆ เราติดต่อประสานงานกับกระทรวงต่างประเทศของประเทศเขาตามช่องทางปกติ ผมเห็นนักวิชาการบางคนบอกว่ากระทรวงการต่างประเทศไม่มีแผนเชิงรุก พื้นที่ชายแดนรอบบ้านเราระอุไปหมดแล้ว ผมขอถามว่าจริงๆแล้ว ระอุที่ชายแดนจริงๆ หรือระอุที่กรุงเทพฯที่ที่ใครๆมาถกเถียงกันอยู่
กรณีชายแดนไทย-เมียนมา แทบยังไม่มีการปักปันเขตแดนชัดเจน แต่หากกระทรวงฯ มีข้อมูลว่ามีการลุกล้ำดินแดนไทย ก็จะเรียกเอกอัครราชทูตเมียนมาประจำประเทศไทยมาพบ และยื่นหนังสือประท้วง เพื่อบันทึกไว้ว่าไทยเห็นว่ามีการล้ำเขตแดน จึงต้องรักษาสิทธิ์ตรงนี้ไว้สำหรับอนาคต ซึ่งกรณีกลุ่มว้าแดง รมว.ต่างประเทศเคยเรียกทูตเมียนมาให้มาพบ และยื่นหนังสือประท้วงแล้ว ช่วงที่เกิดเหตุใหม่ๆ ขณะที่ฝ่ายเมียนมาบอกว่าไม่รู้จะทำอย่างไร เขาคุมพื้นที่ตรงนั้นไม่ได้
ส่วนในทางปฏิบัติ เราได้ขอให้หน่วยงานในพื้นที่และผู้ที่เกี่ยวข้องไปเจรจาเพื่อแก้ไขปัญหา ขณะเดียวกัน สภาพพื้นที่จริง แม่ทัพภาคยืนยันว่า ทุกอย่างสงบเรียบร้อย ไม่มีเหตุปะทะ แต่ที่เป็นประเด็นอยู่ ส่วนหนึ่งมาจากการถกเถียงกัน ซึ่งก็เข้าใจได้ในระบอบประชาธิปไตย
@ กรณี 4 ลูกเรือประมงไทยที่ถูกทางการเมียนมาควบคุมตัว ยังมีปัญหาอยู่
ในอดีต เคยเหตุการณ์ที่เรือประมงไทยถูกทางการเมียนมาจับกุม แต่แก้ไขได้ด้วยกลไกคณะกรรมการชายแดนส่วนท้องถิ่น หรือทีบีซี ซึ่งมีฝ่ายทหารเป็นตัวหลัก แต่กรณีของ 4 ลูกเรือประมงเกิดเป็นข่าวใหญ่ ถกเถียงระดับประเทศ ส่งผลต่ออีกประเทศที่มองอยู่ว่าตกลงจะเอาอย่างไร จึงทำให้เรื่องยุ่งยากขึ้น แทนที่จะเป็นเรื่องระดับท้องถิ่นซึ่งจะทำให้ 2 ฝ่ายพูดคุยกันสะดวก แม้ในสังคมประชาธิปไตย ทุกคนมีสิทธิ์แสดงความคิดเห็นได้ แต่มันทำให้เรื่องยุ่งยากขึ้น และเราก็ทำงานยากด้วย แต่เราก็ต้องหาทางแก้ มีการเจรจากับฝ่ายเมียนมาตลอด ท่านรัฐมนตรีมาริษโทรศัพท์พูดคุยกับท่านตาน ฉ่วย รองนายกฯ และรมว.ต่างประเทศเมียนมา แต่อยากให้เข้าใจด้วยว่าฝ่ายเมียนมายังมีหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องด้วย และยังมีประเด็นอีกเล็กน้อย ซึ่งต้องรอการแก้ไข เราพยายามผลักดันให้กรณีนี้ได้กลับไปสู่การพูดคุยของคณะทีบีซี ควบคู่กับความพยายามช่วยเหลือคนไทย ขอให้ทุกคนอดทนอีกนิด และอยากให้เข้าใจด้วยว่าต้องใช้เวลา
@ เรื่องของเอ็มโอยูไทย-กัมพูชา ปี 2544 ยังเป็นประเด็นร้อนแรงในบ้านเรา
เอ็มโอยูปี 2544 รัฐบาลปัจจุบันไม่ได้ทำอะไรที่นอกเหนือจากสิ่งที่รัฐบาลอื่นๆในอดีตเคยทำ ยังไม่ได้ตั้งคณะกรรมการร่วมด้านเทคนิค (เจทีซี) ไทย-กัมพูชา ชุดใหม่ ขณะที่รัฐบาลชุดก่อนๆ ก็ตั้งคณะเจทีซี และจัดประชุมด้วย กรณีที่ยุครัฐบาลของ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ที่ให้ยกเลิก เพราะความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกัมพูชาขณะนั้นไม่ดี จึงไม่มีประโยชน์ที่จะเจรจากัน แม้ครม.ยุคนั้นมีมติยกเลิก แต่ก็บอกให้ไปศึกษา ซึ่งเมื่อศึกษาโดยคณะผู้รู้ ผู้ชำนาญด้านกฎหมายระหว่างประเทศ ร่วมกับหน่วยงานความมั่นคง และฝ่ายทหาร ต่างยืนยันว่าเอ็มโอยูนี้ยังมีประโยชน์ในการรักษาผลประโยชน์ของประเทศ ทำให้ในรัฐบาลของ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” มีมติให้ใช้ต่อไป และตั้ง “พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” เป็นหัวหน้าคณะเจทีซี
ดังนั้น ในกลุ่มคนที่ค้านเรื่องเอ็มโอยูฯ จึงมีคนที่เคยอยู่ในเจทีซี ที่คุณบอกตอนนี้ว่าไม่โอเคกับเอ็มโอยูปี 2544 นั้น ไม่โอเคกับเอ็มโอยู หรือไม่โอเคกับรัฐบาล ถ้าไม่โอเคกับรัฐบาล ก็ไม่ต้องโจมตีเอ็มโอยูฯ เพราะที่ผ่านมาคุณไม่เคยคัดค้าน และรัฐบาลไม่สามารถไปตกลงเองได้ เพราะต้องส่งเข้ารัฐสภา ให้ตัวแทนของประชาชนในรัฐสภาเอามาคุยกันว่าจะเห็นชอบตามนี้ไหม ถ้าไม่เห็นชอบ ก็คือไม่เห็นชอบ
และการเจรจาลักษณะนี้ เราเคยทำมาแล้วกับมาเลเซียที่ใช้เวลาเป็น 10 ปี กว่าจะทำเสร็จ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าต้องใช้เวลานาน อาจไม่สำเร็จในรัฐบาลนี้ก็ได้ แต่รัฐบาลที่มีความรับผิดชอบต่อประเทศ ก็จำเป็นต้องเดินหน้าตามนี้เพื่อรักษาผลประโยชน์สำหรับคนไทยในวันข้างหน้า
@ กระทรวงฯ ให้ความรู้และความเข้าใจเรื่องเอ็มโอยูฯ และเรื่องเกาะกูด อย่างไร
เรามีการแถลงข่าวให้ข้อมูลต่างๆแล้ว และทางกระทรวงฯ จะร่วมกับคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การต่างประเทศ สภาผู้แทนราษฎร จัดเสวนาเรื่องเอ็มโอยู ปี 2544 ในวันที่ 28 ม.ค.นี้ คาดว่าจะจัดที่โรงแรมอีสติน โดยมีผู้ทรงคุณวุฒิ และผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายระหว่างประเทศร่วมเวที รวมถึงจะเชิญสื่อมวลชน และสส.ที่เคยกระทู้ถามเรื่องดังกล่าวมาร่วมงานนี้ เป็นอีกหนึ่งความพยายามของเราในการให้ข้อมูลที่ถูกต้องแก่ประชาชน
“ไม่มีรัฐบาลไหนที่จะทำให้ประเทศเสียดินแดน เสียเกาะกูด” ข้าราชการ นักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย ทุกคนที่อยู่ในทีมเจทีซี ต่างก็มีศักดิ์ศรี ไม่มีใครสั่งเขาได้ ถ้ามันไม่เป็นประโยชน์กับประเทศ