ยังไม่ทันหายจากความหวาดกลัวภัยแก๊งคอลเซ็นเตอร์โทรหลอกโอนเงิน รายงาน 2 แบรนด์มือถือดัง“ออปโป-เรียลมี”ติดตั้งแอปพลิเคชันเงินกู้เถื่อนส่อละเมิดสิทธิ เข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคล ก็โผล่ขึ้นตอกย้ำช่องโหว่ปัญหาที่ล้ำหน้าชนิดคาดไม่ถึง

ตามมาด้วยเสียงทวงถามสารพัดภัยออนไลน์ ประชาชน ผู้เสียหาย หรือผู้บริโภคต้องรับจบเองอีกหรือไม่ เพราะนับจากอดีตถึงปัจจุบัน ผู้เสียหายคดีอาชญากรรมที่ถูกหลอกโอนเงิน ยังคงเป็นผู้ที่ต้องแบกรับความเสี่ยง 100 %

การจะลดเปอร์เซ็นนี้ลงได้ นาทีนี้มีการจับตาไปที่การขยับกฎหมาย เพื่อยกระดับคล้ายโมเดลสิงคโปร์ ซึ่งปลายปี 67 ที่ผ่านมา เพิ่งสร้างกระแสร้อนข้ามแดน ประกาศมาตรการยกระดับแก้ภัยออนไลน์เด็ดขาดเชิงรุก พุ่งความรับผิดชอบไปที่ธนาคาร และผู้ให้บริการค่ายโทรศัพท์

ทั้งกำหนดให้ต้องมีระบบแจ้งเตือนภัยลูกค้า ต้องมีระบบตรวจจับธุรกรรมต้องสงสัย และต้องมีระบบ Kill switch ให้ลูกค้าอายัดบัญชีทันที เมื่อพบความผิดปกติ ขณะเครือข่ายโทรศัพท์ต้องบล๊อกข้อความ หรือ SMS หลอกลวง ระบุตัวตนคนส่ง

โดยในส่วนประเทศไทยกำลังรอ“พลิกเกม” ผ่านการเสนอแก้ไข พ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ.2566 มี 4 ข้อสำคัญ คือ การเร่งคืนเงินให้ผู้เสียหาย หลังอายัดบัญชีม้า , การเพิ่มโทษพฤติกรรมซื้อขายข้อมูลส่วนบุคคล จากจำคุก 1 ปี เป็น 5 ปี , การให้ธนาคารและเครือข่ายโทรศัพท์ร่วมรับผิดชอบ และมาตรการใหม่ถอดด้ามอย่างการป้องกันการโอนเงินผิดกฏหมายผ่านสินทรัพย์ดิจิทัล

อย่างไรก็ตาม ตราบใดที่การแก้ไขยังไม่บังคับใช้ “คาถา”เอาตัวรอดจึงยังอยู่ที่“ปลายสาย”

กรณีของ..แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่ออกมายอมรับเกือบเป็น“เหยื่อ”แก๊งคอลเซ็นเตอร์ หลังปลายสายใช้ AIเลียนเสียง”สุดเหมือนผู้นำต่างประเทศรายหนึ่ง ชวนร่วมบริจาคเงิน พร้อมส่งบัญชีปลายทางชวนสงสัยเพราะเป็นอีกประเทศหนึ่ง จึงรอดมาได้ เพราะ“เอะใจ”เป็นมิจฉาชีพ

ขณะอีกรายเกิดขึ้นในครอบครัวคนดังอย่าง อ้น ศรีพรรณ ชื่นชมบูรณ์ เตือนภัยหลังแม่ถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์อ้างเป็นตำรวจติดต่อหาช่วงเวลา“ตี 2” หลอกว่าน้องชายดีเจดังถูกจับคดียาพร้อมเรียกเงินแลกปล่อยตัว โชคดีแม่มีสติไม่รีบโอนและสอบถามมาก่อน

ความน่าสนใจนอกจากห้วงเวลาโทรหาที่ดึกผิดปกติ การติดต่อซ้ำกลับมาอีกครั้งและใช้ AI เลียนเสียงเป็นลูกที่คนเป็นแม่ยังยอมรับว่าเหมือน เป็นอีกความ“แยบยล”ที่สติของคนปลายสายสำคัญมาก กรณีนี้มีการพิสูจน์ตัวเพิ่มเติมโดยถามชื่อพ่อแม่กลับไปยังผู้ที่อ้างเป็นลูก ทำให้มิจฉาชีพตัดสาย รอดภัยแก๊งคอลเซ็นเตอร์

แต่…ไม่ใช่ทุกสายที่มีสติ รู้ข่าว ทันเหตุการณ์แล้วจะรอด อีกกรณีล่าสุดบอกเล่าโดย เปิ้ล นาคร ศิลาชัย เผยมีครอบครัวคนใกล้ชิดตกเป็นเหยื่อ เสียเงินไปถึง 6 ล้านบาท ผู้เสียหายเป็นผู้สูงอายุสองสามีภรรยา ถูกมิจฉาชีพอ้างเป็นตำรวจโทรหาแจ้งว่าคนเป็นเกี่ยวพันคดีฟอกเงิน ต้องตรวจสอบบัญชี แต่ระหว่างพูดคุยฝ่ายภรรยาร่วมวงด้วย คนร้ายจึงสั่งแยกไปอยู่คนละห้อง แล้วข่มขู่ต่อเนื่องยาวนานจากเที่ยงวันยัน 2 ทุ่ม มีการโอนเงินออกไปทุกบัญชีที่มีนับสิบครั้ง จนเหลือติดบัญชีเพียง 3 แสนบาท จึงเริ่มมีสติว่าถูกหลอก

ความน่าสนใจคดีนี้คือ ทั้งคู่ติดตามข่าวสารแก๊งคอลเซ็นเตอร์ตลอด แต่เมื่อถึงคราวรับสายจริงกลับยังหลงเชื่อ โดยบอกว่าคล้ายถูกสะกดจิต และกลัวคำขู่เรื่องเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องผิดกฎหมาย

การยกระดับกฎหมายเด็ดขาดเทียบชั้นสิงคโปร์จะกู้วิกฤติภัยออนไลน์ที่ทำคนไทยสูญเงินเฉลี่ยวันละ 77 ล้านบาทได้หรือไม่ ไม่อาจล่วงรู้ แต่ชัดเจนคือที่ผ่านมา แม้การรับรู้และความเท่าทันภัยของประชาชนจะเป็นภูมิคุ้มกันที่ดีที่สุด

ทว่ายังไม่เพียงพอ เห็นชัดจากผู้เสียหายระยะหลัง หลายคนรับรู้ข่าวสารภัยคอลเซ็นเตอร์ แต่ไม่ได้การันตีว่าจะรอด ประเด็นนี้จึงเป็นโจทย์ท้าท้ายการปรับปรุงระบบ และมาตรการที่ต้องแน่นหนาขึ้นทุกด้าน.

ทีมข่าวอาชญากรรม รายงาน

[email protected]