ปัญหามาจากความไม่แน่นอนในหลาย ๆ ด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความกังวลในนโยบายของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ที่อาจทำให้สงครามการค้าปะทุแรงขึ้นมาอีก

ขณะที่ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน ก็ยังไม่ได้หมดไปโดยสิ้นเชิง ทำให้ความผันผวนในตลาดการเงินโลกปะดังประเดเกิดขึ้นอย่างไม่รู้จบ

ด้วยเหตุนี้การไหลเวียนของเงินทุนจึงยังคงไหลออกอย่างต่อเนื่อง เพราะความเชื่อมั่นของนักลงทุนไม่ได้มั่นใจเหมือนดั่งเก่าก่อน

ผนวกเข้ากับภาวะเศรษฐกิจในประเทศ ก็ยังไม่ได้ลอยลำ เพราะมีปัญหาหนี้สินครัวเรือนที่เป็นตัวฉุดรั้ง ทำให้แรงบริโภคในประเทศไม่หวือหวา

ด้านผู้ประกอบการ ก็ยังถูกแรงกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าที่ยังไม่สามารถรักษาโมเมนตั้มได้เหมือนเดิม โดยเฉพาะเศรษฐกิจจีน

ตลาดหุ้นไทย จึงไม่มีแรงดึงดูด จึงไม่น่าสนใจในสายตาของนักลงทุน ที่สำคัญ! ปัญหาความผิดปกติของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยที่เกิดขึ้นในหลายบริษัท ทั้งเรื่องของการทุจริต ทั้งเรื่องการปกปิดข้อมูล การตกแต่งบัญชี หรือแม้แต่การทำธุรกิจที่ไม่โปร่งใส

ไม่เพียงแค่นี้ เพียงแค่ต้นปีไม่กี่วัน ปัญหาของการ “จำนำหุ้น” ที่เกิดขึ้น ก็กลายเป็นปัญหาส่งผลต่อตลาดในภาพรวมเข้าให้อีก ทั้งที่ตลอดปีที่ผ่านมา ความไม่ตรงไปตรงมา ของบริษัทจดทะเบียนบางรายมีมาอย่างต่อเนื่อง

เหตุปัจจัยเหล่านี้!!ย่อมทำให้ความไว้วางใจของนักลงทุนนั้นเริ่มหดหาย แห้งเหือดลงไปเรื่อย ๆ โดยเฉพาะความไม่มั่นใจในภาพลักษณ์ของตลาดหุ้นไทยโดยรวม

ทั้งหมด…จึงต้องขึ้นอยู่กับฝีมือของหน่วยงานกำกับดูแล ที่ต้องเร่งยกระดับมาตรการการตรวจสอบและป้องกันให้เข้มข้น เข้มงวดมากขึ้น โดยเฉพาะความรวดเร็วและต้องทันกับสถานการณ์

สิ่งสำคัญ!! ต้องทำตั้งแต่แรกเริ่มของการคัดกรองบรรดาบรษัทที่จะเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหุ้น รวมไปถึงการติดตามสัญญาณที่ผิดปกติแบบใกล้ชิด รวดเร็ว ทันที และที่ขาดไม่ได้คือการบังคับใช้กฎหมาย ใช้บทลงโทษเด็ดขาด

แต่สารพันสารพัด ย่อมต้องขึ้นอยู่กับบริษัท ขึ้นอยู่กับเจ้าของ ขึ้นอยู่กับกรรมการ ที่ต้องมี “สำนึก” ในการทำธุรกิจ การเพียงแค่หาผลประโยชน์โดยส่วนตัวนั้น แม้จะเป็นเรื่องปกติ แต่ก็ต้องมี “คุณธรรม” ด้วยเช่นกัน

ความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้น ในช่วงที่ผ่านมา วูบวาบมาโดยตลอด แม้จะมีมาตรการ หรือมีสินค้าใหม่ออกมาคอยกระตุ้น ออกมาดึงดูด นักลงทุน แต่ก็ไม่ได้เพิ่มมนต์ขลังให้กับหุ้นไทย อย่างที่หลายฝ่ายคาดหวัง

บรรดา “กูรู” ต่างมองว่า หุ้นถูก “กระทำชำเรา” ทั้งภายในและภายนอก การจะฟื้นหุ้นไทยให้มนต์เสน่ห์กลับคืนมา จำเป็นอย่างยิ่ง ที่รัฐบาลต้องเร่งหามาตรการมายับยั้งบรรดาพวกที่หากินกับหุ้นในช่วงขาลง

โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดานักลงทุนต่างรอฟังว่า นาย “ทักษิณ ชินวัตร” ที่ใครๆ ก็ปักใจเชื่อว่าเป็น “นายกฯตัวจริง” จะส่งสัญญาณต่อตลาดหุ้นไทยอย่างไร? แล้วจะเป็นแรงดึงดูดปลุกพลังตลาดหุ้นไทย ได้มากน้อยแค่ไหน? ในการขึ้นเวทีแสดงวิสัยทัศน์ด้านตลาดหุ้นในช่วงค่ำของวันที่ 13 ม.ค.นี้

ขณะเดียวกันก็ต้องรอดูแนวทางการดำเนินงานและนโยบายของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ที่จะเข้าสาบานตนเพื่อรับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯคนใหม่ ในสัปดาห์ถัดไป

แม้ว่าที่ผ่านมา “ทรัมป์” ได้ส่งสัญญาณการบริหารเศรษฐกิจ มาอย่างชัดเจนในช่วงที่ผ่านมาแล้วก็ตาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขึ้นภาษีสินค้านำเข้ากับประเทศต่าง ๆ เพื่อให้คนสหรัฐฯได้ประโยชน์มากที่สุดมาแล้วก็ตาม

ทั้งนี้บรรดา “กูรู” จากหลากหลายสำนัก ต่างมองไปในทิศทางเดียวกันว่านโยบาย “อเมริกัน เฟิร์ส” ย่อมส่งผลต่อตลาดทุนแน่นอน ปัญหาจึงตกไปอยู่ที่ “การรับมือ”

จึงไม่ใช่เรื่องแปลก ว่าการจะพัฒนาตลาดทุนให้มีศักยภาพ ให้มีมนต์เสน่ห์ นั้นจะหลีกเลี่ยงเรื่องของการสร้างความ “ยั่งยืน” ไปไม่ได้ ซึ่งหนีไม่พ้นที่ต้องมาจาก “ความรับผิดชอบ”

……………………………………….
คอลัมน์ : เศรษฐกิจจานร้อน
โดย “ช่อชมพู”

อ่านบทความทั้งหมดคลิกที่นี่