การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ (climate change) ส่งผลกระทบทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย ปี2567 เกิดอุทกภัยครั้งใหญ่หลายพื้นที่ โฟกัสอุโมงค์รถไฟทางคู่สายเหนือช่วงเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ ระยะทาง 323 วงเงิน 7.29 หมื่นล้านบาท ของการรถไฟแห่งประเทศไทย(รฟท.) มีถึง 4 อุโมงค์ รับมือน้ำท่วมอย่างไร???
ข้อมูลจากรฟท. ให้คำตอบว่า ได้ศึกษาธรรมชาติ ดูทิศทางน้ำทั้งในปัจจุบัน และอนาคต รวมถึงถอดบทเรียนน้ำท่วมภาคเหนือที่ต้องเผชิญเหตุการณ์น้ำหลากเกือบทุกปีให้ทุกอุโมงค์มีระบบจัดการระบายน้ำ ทั้งภายในและภายนอกอุโมงค์ มีมาตรฐานการออกแบบป้องกันน้ำท่วมทั้งระหว่างการก่อสร้าง และหลังก่อสร้างติดตั้งระบบระบายน้ำทั้งอุโมงค์หลัก (Main Tunnel) ทางแยก และห้องอุปกรณ์ (Cross passage ad Equipment room) โดยทำงานร่วมกับแผ่นกันซึมป้องกันไม่ให้น้ำใต้ดินซึมผ่านโครงสร้างคอนกรีตเข้าภายในอุโมงค์ ลดแรงดันน้ำป้องกันความเสียหายต่อโครงสร้างอุโมงค์

ส่วนการระบายน้ำภายนอกอุโมงค์ ออกแบบป้องกันไม่ให้น้ำฝนไหลย้อนเข้าอุโมงค์ โดยวางระดับของตัวอุโมงค์ ให้ลาดชัน เทออกจากปากอุโมงค์จากฝั่งหนึ่งไปอีกฝั่ง ออกแบบการระบายน้ำภายนอกอุโมงค์ต่อเนื่องจากทางรถไฟในภาพรวมดูทิศทางการไหลของน้ำทั้งระบบรอบพื้นที่ควบคู่ด้วย นอกจากนี้ยังมีมาตรการความปลอดภัยระหว่างการก่อสร้างมีสถานีสูบน้ำจากผนังอุโมงค์ หรือภายในอุโมงค์ไปยังภายนอกอุโมงค์ และมีบ่อกักเก็บตะกอนควบคุมคุณภาพน้ำให้มีความเหมาะสมก่อนระบายสู่คลองธรรมชาติ
นายพงศ์พล ศิริโยธิน ผู้จัดการงานอุโมงค์ดอยหลวง บริษัท ช.การช่าง จำกัด(มหาชน) 1 ใน 4 อุโมงค์ สัญญาที่ 3 ช่วงเชียงราย-เชียงของ เล่าว่า ผู้ออกแบบนำข้อมูลปริมาณน้ำฝน 100 ปี และเหตุแผ่นดินไหว 100 ปี ที่หนักสุดในรอบ 100 ปี มาพิจารณาออกแบบอุโมงค์ดอยหลวง เพื่อรองรับปริมาณน้ำฝน และป้องกันน้ำท่วมเผื่อไว้ประมาณ 1 เท่าตัว เหตุการณ์น้ำท่วม จ.เชียงรายเมื่อเดือน ก.ย.2567 จากการสอบถามชาวบ้านอายุ 80 ปี บอกว่าไม่เคยเกิดฝนตกหนัก และน้ำท่วมหนักขนาดนี้ แต่อุโมงค์ดอยหลวงไม่มีปัญหาน้ำท่วม พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่ารับมือได้
แจกแจงขั้นตอนการก่อสร้างช่วงแรกจะทำร่องระบายน้ำด้านข้างของอุโมงค์แต่ละด้าน เป็น Slope (ลาดเอียง)ให้น้ำไหลออก นอกจากนี้มีปั๊มดูดช่วยเร่งระบายน้ำออกด้านหน้าอุโมงค์ ส่วนใหญ่ช่วงฝนตกจะมีน้ำจากรอยแตกของภูเขาเข้าอุโมงค์ เมื่อขุดเจาะอุโมงค์แล้วเสร็จ จะทำระบบท่อระบายน้ำด้านข้างทั้ง 2 ด้าน และท่อระบายน้ำขนาดใหญ่กลางอุโมงค์ ก่อนทำโครงสร้างคอนกรีตปิดทับให้น้ำด้านข้างไหลมารวมท่อตรงกลาง และออกจากอุโมงค์สู่แหล่งน้ำธรรมชาติ
สำหรับด้านหน้าอุโมงค์จะทำสโลปเป็นชั้นๆ และทุกชั้นได้วางท่อระบายน้ำทั้งหมด ไหลลงสู่แหล่งน้ำทางธรรมชาติ โดยทำเป็นคอนกรีตชั้นๆ ในจุดที่มีความชันมาก เพื่อป้องกันไม่ให้ดินถล่มทับรางรถไฟ และน้ำไม่เข้าอุโมงค์ ส่วนด้านบนที่เป็นดิน ไม่ได้เป็นคอนกรีต จะใช้จีโอแมท HDPEแผ่นสำหรับเสริมความแข็งแรงของดิน เป็นเกราะตาข่าย และโยนเม็ดหญ้าบนแผ่นจีโอแมท ให้หญ้าขึ้นปกคลุมช่วยป้องกันกัดเซาะ และคืนความเป็นธรรมชาติให้พื้นที่

ขณะที่ อธิบดีกรมการขนส่งทางราง(ขร.) นายพิเชฐ คุณาธรรมรักษ์ ย้ำถึงที่ตั้งของประเทศไทย อยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตร มีลักษณะเป็นเขตร้อนชื้น ฝนตก 6 -7 เดือน/ปี เป็นปัจจัยทำให้เกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติ ส่งผลกระทบต่อระบบรางของประเทศทุกปี อาทิ น้ำท่วมรางรถไฟ และดินถล่มทับราง ต้องหยุดบริการ สร้างความเสียหายต่อโครงสร้างพื้นฐานระบบราง รฟท.ใช้งบประมาณซ่อมแซมแต่ละปีจำนวนมาก ขร. จึงร่วมกับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์(มก.) ศึกษาจัดทำมาตรฐานระบบระบายน้ำโครงสร้างพื้นฐานระบบราง และจัดทำมาตรการลดความเสี่ยงต่อภัยระบบราง
โดยศึกษาเส้นทางรถไฟที่เกิดน้ำท่วมซ้ำซาก ดินถล่ม ทางทรุด คัดเลือกจุดเสี่ยงสูง 10 จุดนำมาออกแบบงานโครงสร้าง กรณีเกิดภัยพิบัติ พร้อมศึกษาตัวอย่างจากต่างประเทศ ได้แก่ สหภาพยุโรป สหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา อินเดีย ออสเตรเลีย จีน เพื่อจัดทำข้อเสนอแนะ แนวทางป้องกัน และแก้ไขปัญหา ลดความเสี่ยงต่อภัยระบบราง รวมถึงจัดทำแผนปฏิบัติการ (Action Plan) สำหรับแก้ไขปัญหาทั้งระยะเร่งด่วน ระยะกลาง และระยะยาว รวมถึงมาตรฐานระบบระบายน้ำโครงสร้างพื้นฐานระบบราง และแนวทางป้องกันความเสี่ยง ตลอดจนจัดทำแผนเผชิญเหตุ เป็นต้น
ผลการศึกษาจะแล้วเสร็จเดือนพ.ย. 2568 นำส่งรฟท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้เป็นแนวทางหรือประยุกต์ใช้ร่วมกับโครงการอื่นๆ ในอนาคต อาทิ โครงการรถไฟทางคู่ โครงการรถไฟความเร็วสูง( ไฮสปีด) เพื่อออกแบบโครงสร้างทางรถไฟให้รองรับเหตุภัยพิบัติเมื่อเกิดฝนตกหนัก ช่วยลดความเสี่ยงที่จะเกิดอันตรายและความเสียหาย รวมทั้งเพิ่มความปลอดภัยให้ผู้ใช้บริการ
ตั้งค่าออกแบบเหมือนเดิมไม่พอ ต้องใช้ค่าเฉลี่ยน้ำท่วมและแผ่นดินไหว100 ปีเพิ่มอีกเท่าตัว เสริมความแข็งแรงให้อุโมงค์รถไฟทางคู่ สู้กับความปั่นป่วนของสภาพภูมิอากาศ.
…………………………………………..
นายสปีด
***ห้ามคัดลอกเนื้อหาและภาพในบทความนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต