ปี 68 ยังเป็นปีที่รัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ยังต้องเหนื่อยและทำงานหนัก ทั้งงานในสภา และงานนอกสภา
งานในสภา คือเที่ยวนี้ต้องถูกพรรคฝ่ายค้านยื่นขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจการทำงานของรัฐบาลก่อนปิดสมัยประชุมสภาช่วงต้นเดือน เม.ย. 68 อย่างแน่นอน
ต่อมาคือการผลักดันกฎหมายทำประชามติ เพื่อนำไปสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดย “ส.ส.ร.” ซึ่งล่าช้ามา 1 ปีเต็ม ๆ และอายุของสภาชุดนี้อยู่ไม่ถึง 2 ปีครึ่งแล้ว
ดังนั้นพรรคเพื่อไทยจึงต้องออกแรงเข็น! ให้มีการทำประชามติให้ได้ภายในปี 68 เพื่อที่จะได้ “ตัวเบา” ไม่มีข้อครหาติดตัวไปถึงการเลือกตั้งครั้งหน้าว่าพรรคเพื่อไทย “เตะถ่วง ซื้อเวลา” ไม่เร่งแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เป็นมรดกมาจากการรัฐประหาร จนนายเศรษฐา ทวีสิน ถูกสอยตกจากเก้าอี้นายกรัฐมนตรีมาแล้ว
นอกเหนือจากกฎหมายประชามติ ยังมีกฎหมายเกี่ยวกับเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ และกฎหมายที่จะทำโครงการแลนด์บริดจ์ ซึ่งต้องคุยกับพลพรรค “ภูมิใจขวาง” ให้รู้เรื่อง! ก่อนที่จะเอาร่างกฎหมายเข้าไปโหวตในสภา เพื่อไม่ให้ “ตกม้าตาย” จากฝีมือพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกัน
ส่วนงานนอกสภา เป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่ต้องแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจปากท้อง ปัญหาสังคม (ยาเสพติด) ที่เคยเป็นจุดแข็งของรัฐบาลในอดีต ตั้งแต่ยุค “ไทยรักไทย” มาถึง “เพื่อไทย” ให้เห็นผลอย่างชัดเจนในปีนี้ ไม่เช่นนั้นการเลือกตั้งเที่ยวหน้าจะลำบาก!
ดังนั้นก่อนตรุษจีนปีนี้ (29 ม.ค. 68) เงินหมื่นเฟส 2 ต้องถึงมือผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป จำนวน 4 ล้านคน และเฟส 3 สำหรับคนที่ลงทะเบียนผ่านแอป “ทางรัฐ” เมื่อคัดกรองคุณสมบัติแล้วน่าจะเหลืออีกประมาณ 20-22 ล้านคน
ระบบดิจิทัลวอลเล็ต จะพัฒนาเสร็จพร้อมใช้งานทั่วประเทศภายในเดือน มี.ค.นี้หรือไม่ และรัฐบาลจะเจียดเงิน 2-2.2 แสนล้านบาท จากแหล่งไหนมาแจกจ่าย นี่คืองานหินของนายกฯ แพทองธาร
อีกงานใหญ่นอกสภา คือ การปลุกม็อบของพวกหน้าเดิม ๆ ฮึ่ม ๆ จะลงถนนกันให้ได้! โดยไม่เคยจดจำบทเรียนที่เคยสร้างความปั่นป่วนในบ้านเมืองในห้วง 20 ปีที่ผ่านมา จนนำไปสู่การรัฐประหาร 2 ครั้ง ปิดล้อมล้มการเลือกตั้ง 1 ครั้ง ฉุดประเทศถอยหลังเข้าคลอง เศรษฐกิจถดถอยซบเซาต่อเนื่องมาอย่างยาวนาน “จีดีพี” ขยายตัวรั้งท้ายในอาเซียนมา 8-9 ปี ต้องแบกหนี้สาธารณะ และหนี้ครัวเรือนกันหลังแอ่นถึงทุกวันนี้
เงื่อนไขของ “ม็อบ” ตอนนี้มีอยู่เรื่องเดียวคือ “เอ็มโอยู 44” ที่จะนำไปสู่การพัฒนาแหล่งพลังงานในพื้นที่อ้างสิทธิในทะเลไทย-กัมพูชา เพื่อมีบ่อก๊าซธรรมชาติของเราเอง เพื่อเอาก๊าซฯขึ้นมาผลิตไฟฟ้า ต่อเนื่องไปยังธุรกิจปิโตรเคมี ที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจปีละเป็นแสน ๆ ล้านบาท
แต่พวกปลุกม็อบยังวนเวียนอยู่กับเรื่องขายชาติ หมุน ๆ อยู่กับเขาพระวิหาร-เกาะกูด โดยไม่ได้ไปถาม “กองทัพเรือ” ให้เคลียร์ไปเลยว่าไทย-มาเลเซีย ขุดก๊าซแบ่งครึ่ง 50:50 กันมา 19 ปีแล้ว มีรัฐบาลไหนขายชาติ? หรือว่าไทยเสียดินแดนให้มาเลเซียบ้างหรือเปล่า?.
…………………………………………………….
พยัคฆ์น้อย