บริษัทซูริค อินชัวรันส์ ระบุในรายงาน “ทิศทางเศรษฐกิจโลกและตลาดปี 2568” ว่า โลกกำลังอยู่ในภาวะผันผวน

เศรษฐกิจที่ไม่เหมือนกัน
การเติบโตของสหภาพยุโรป (อียู) “เป็นไปในเชิงบวก แต่ยังอ่อนแอ” โดยเมื่อไตรมาสที่ 3 ของปี 2567 ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ปรับขึ้นตามฤดูกาล 0.4% ในยูโรโซน และ 0.3% ในสหภาพยุโรป (อียู) หลังจากที่ไตรมาสที่ 2 ของปีเติบโต 0.2% และ 0.3% ตามลำดับ

ในทางกลับกัน จีดีพีของสหรัฐเพิ่มขึ้นในอัตราประจำปี 2.8% ในไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ ตามประมาณการครั้งที่ 2 ขณะที่สำนักงานวิเคราะห์เศรษฐกิจกล่าวในไตรมาสที่ 2 ว่า จีดีพีจริงของสหรัฐเพิ่มขึ้น 3.0%

การเติบโตอย่างสวนทางกัน เป็นผลมาจากมาตรการทางการคลังที่ขยายตัว ขณะที่ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับภาษีศุลกากรและการค้า ทำให้ความเชื่อมั่นและกิจกรรมในภูมิภาคอื่น ๆ ซบเซา

เงินเฟ้อ
เงินเฟ้อจะยังคงเป็นปัญหาสำคัญในปี 2568 แม้ธนาคารกลางหลายแห่งทั่วโลกจะปรับลดค่าใช้จ่าย ขณะที่แรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่ต่อเนื่องในสหรัฐ รวมถึงการขึ้นภาษีศุลกากร และการตอบสนองนโยบายของธนาคารกลาง ส่งผลให้เกิดภูมิทัศน์เงินเฟ้อที่ซับซ้อน

แม้ตัวเลขเงินเฟ้อจะเข้าใกล้เป้าหมายในประเทศส่วนใหญ่ แต่การเติบโตที่แข็งแกร่งของสหรัฐ และภาษีศุลกากรที่อาจปรับขึ้น ก่อให้เกิดความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อของสหรัฐ เมื่อเดือน พ.ย. ที่ผ่านมาซึ่งทำให้ดัชนีราคาผู้บริโภคสำหรับผู้บริโภคในเขตเมืองทั้งหมดปรับขึ้น 0.3% ตามฤดูกาล และเพิ่มขึ้น 2.7% ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา ตามข้อมูลของสำนักงานสถิติแรงงานสหรัฐ

นายแรนดี บราวน์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนจากซันไลฟ์ ซึ่งเป็นผู้ให้บริการด้านการลงทุน กล่าวไม่กี่วันหลังการเลือกตั้งสหรัฐว่า มุมมองของตลาดเกี่ยวกับการเลือกตั้งคือ “วาระของพรรครีพับลิกันอาจทำให้เกิดเงินเฟ้อ” ซึ่งตอกย้ำแนวคิดที่ว่า อัตราดอกเบี้ยจะยังคงสูงขึ้นต่อไปอีกนาน

นายเดวิด วอร์สโฟลด์ กล่าวในบทความว่า การยกเลิกกฎระเบียบที่สัญญาไว้ จะช่วยชดเชยแรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่อาจเกิดขึ้นได้ ซึ่งอาจช่วยลดต้นทุนสำหรับภาคส่วนที่สำคัญ เช่น พลังงาน เชื้อเพลิงฟอสซิล การผลิต เทคโนโลยี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะที่สหรัฐกำลังแข่งขันเพื่อเป็นผู้นำโลกด้านปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) และภาคบริการทางการเงิน

ขณะที่ภาษีศุลกากรยังอาจช่วยกระตุ้นธุรกิจในประเทศ ทั้งในฐานะผู้นำเข้าหรือผู้ส่งออก และอาจเพิ่มโอกาสในการลงทุนเชิงกลยุทธ์มากขึ้น

นายจิม คานิไคลด์ส หัวหน้าฝ่ายประกันภัยสหรัฐจากอินไซด์ อินเวสเมนต์ กล่าวว่า ขณะนี้ นักลงทุนต่างให้ความสนใจกับ นโยบายของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งจะรับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐสมัยที่สอง ในวันที่ 20 ม.ค. นี้ และจะต้องใช้เวลา 2-3 เดือน ถึงจะมีความชัดเจนในเรื่องนี้ พร้อมระบุว่า การขึ้นภาษีศุลกากรและการเนรเทศผู้อพยพจะสามารถทำได้ โดยไม่ก่อให้เกิดภาวะเงินเฟ้ออย่างรุนแรง เนื่องจากเฉพาะภาคเกษตรกรรมและก่อสร้าง มีแรงงานผู้อพยพเป็นกำลังสำคัญ

ในทางกลับกัน การเติบโตที่ลดลงในยุโรปคาดว่าจะช่วยควบคุมเงินเฟ้อได้ หลังโกลด์แมน แซคส์ คาดการณ์ว่า จีดีพีของอังกฤษจะเพิ่มขึ้น 1.2% ในปี 2568 ช้ากว่าการคาดการณ์ของธนาคารแห่งอังกฤษ (บีโออี) ซึ่งเป็นธนาคารกลางของสหราชอาราจักร ที่ 1.5% และต่ำกว่าการประมาณการของนักเศรษฐศาสตร์ที่สำรวจโดยบลูมเบิร์ก ที่ 1.3% เพียงเล็กน้อย

ความไม่แน่นอนนี้ประกอบกับความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ อาจส่งผลกระทบเชิงลบต่อการลงทุนและกิจกรรมทางธุรกิจ ส่งผลให้การเติบโตทั่วโลกในปี 2568 อ่อนแอลงเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม คาดว่าเศรษฐกิจโลกจะไม่ถดถอย เนื่องจากการผ่อนคลายนโยบายในยุโรป และมาตรการสนับสนุนในจีน

ธนาคารโลก (เวิลด์แบงก์) กล่าวว่า เศรษฐกิจของจีนเติบโตในอัตรา 5.0% เมื่อครึ่งแรกของปี 2567 โดยเวิลด์แบงก์กล่าวว่า เศรษฐกิจแข็งแกร่งด้วยแรงสนับสนุน จากการใช้จ่ายของผู้บริโภคด้านบริการ การส่งออก และการลงทุนด้านการผลิตและโครงสร้างพื้นฐานสาธารณะ โดยคาดว่าการเติบโตจะชะลอตัวลงเหลือ 4.8% ในปี 2567 จาก 5.2% ในปี 2566

ปี 2568
นายกาย มิลเลอร์ หัวหน้านักยุทธศาสตร์ตลาดกลุ่มและนักเศรษฐศาสตร์ และผู้เขียนรายงานกล่าวว่า นโยบายของทรัมป์ และการที่ทรัมป์เลือกผู้มีแนวคิดสายเหยี่ยวทางเศรษฐกิจ ให้เข้ามาร่วมรัฐบาล ถือเป็นสัญญาณของการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ ขณะที่แนวโน้มทั่วโลกในปี 2568 สามารถอธิบายได้ดีที่สุดว่า “เศรษฐกิจโลกอยู่ในภาวะไม่แน่นอน”

เห็นได้ชัดจากผลตอบแทนพันธบัตรที่ผันผวน ซึ่งคาดว่าจะยังคงดำเนินต่อไป จากความไม่แน่นอนของสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ พัฒนาการด้านภาษีศุลกากร และแนวโน้มเงินเฟ้อ ซึ่งถือเป็นสิ่งที่ผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนจะต้องจับตามอง..