แต่ดูเหมือนว่า นางอังเกลา แมร์เคิล อดีตนายกรัฐมนตรีเยอรมนี จะสวนทางกับไทม์ไลน์ข้างต้น อดีตผู้นำคนนี้ ชนะการเลือกตั้งถึง 4 ครั้ง และบริหารประเทศเป็นเวลานาน 16 ปี ก่อนลาออกจากตำแหน่งเมื่อปี 2564 ซึ่งเธอได้รับการยกย่องว่าเป็น “มารดาแห่งยุโรป” และเป็นแบบอย่างของการรับใช้ประชาชน กระนั้น มรดกที่คงอยู่มาอย่างยาวนานของเธอ เปรียบเสมือนนมที่ถูกทิ้งไว้กลางแดดจนบูด
ในการให้สัมภาษณ์โปรโมตหนังสือของเธอ ที่ชื่อว่า “ไฟรไฮต์” ( อิสรภาพ ) แมร์เคิลต้องอดทนต่อคำถามหลายข้อที่ค่อนข้างจี้ตรงประเด็นสำคัญ นั่นเป็นเพราะว่ายิ่งวันเวลาผ่านไป มันยิ่งเป็นที่ชัดเจนมากขึ้นเรื่อย ๆ ว่า การตัดสินใจครั้งสำคัญเกือบทุกครั้งของเธอ ล้วนได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็น “ความผิดพลาด” จนส่งผลให้เยอรมนีตกอยู่ในเงื้อมมือ ของสามประเทศมหาอำนาจทางภูมิรัฐศาสตร์ เนื่องจากประเทศต้องพึ่งพาการคุ้มครองจากกองทัพสหรัฐ พึ่งพาพลังงานจากไฮโดรคาร์บอนของรัสเซีย และพึ่งพาเงินทุนจากผู้บริโภคชาวจีน
ตลอดช่วงเวลาที่แมร์เคิลดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ค่าใช้จ่ายด้านการป้องกันประเทศของเยอรมนี ไม่เคยสูงเกิน 1.3% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ขณะที่สัดส่วนการนำเข้าก๊าซธรรมชาติของรัสเซีย เพิ่มขึ้นจาก 35% เมื่อปี 2555 เป็น 55% ในปี 2561 และยังคงอยู่ในระดับนั้น จนกระทั่งท่อส่งก๊าซนอร์ดสตรีม ได้รับการเสียหายจากเหตุวินาศกรรมระเบิด เมื่อปี 2565
นอกจากนี้ การส่งออกสินค้าไปยังจีน และการนำเข้าสินค้าจากจีน ก็เพิ่มขึ้นจากประมาณ 5% ของการค้าทั้งหมดของเยอรมนี ในช่วงต้นทศวรรษที่ 2000 เป็นมากกว่า 20% เมื่อช่วงสิ้นปีที่แล้ว
เมื่อพูดถึงจีน ประเทศพัฒนาแล้วส่วนใหญ่ต่างยุ่งไม่แพ้กัน ในการพยายามขายทุกสิ่งที่เท่าที่ขายได้ ให้กับประเทศที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจเร็วที่สุดในโลก ซึ่งเยอรมนีนับว่าโชคดีมากที่สามารถผลิตหลายสิ่งหลายอย่าง เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าชาวจีนในเวลานั้น ทว่าในตอนนี้ พรได้กลายเป็นคำสาปแล้ว
แม้จีนเป็นแหล่งอุปทานสำคัญสำหรับผู้ผลิตในเยอรมนี และเป็นตลาดสำคัญสำหรับสินค้าของพวกเขา อย่างไรก็ตาม การขยายตัวของยานยนต์ไฟฟ้า (อีวี) ของจีน แสดงให้เห็นว่า การพึ่งพาสองเท่า สามารถกลายเป็นภัยคุกคามสองด้านได้ นั่นคือ การลดส่วนแบ่งการตลาดของผู้ผลิตรถยนต์ของเยอรมนี ในตลาดรถยนต์หรูของจีน และการสร้างภัยคุกคามต่อระบบทางหลวงของประเทศ ซึ่งอุตสาหกรรมอื่น ๆ ก็กำลังประสบปัญหาเช่นกัน แม้จะได้รับผลกระทบในระดับที่น้อยกว่าก็ตาม
อนึ่ง นโยบายด้านพลังงานของเยอรมนี ถือเป็นมรดกที่เลวร้ายที่สุดของแมร์เคิล โดยในการให้สัมภาษณ์ เธออ้างว่ามีแรงจูงใจ 2 ประการ ในการสนับสนุนท่อส่งก๊าซของรัสเซีย ได้แก่ การรักษาความสัมพันธ์อันสันติกับทำเนียบเครมลิน และการส่งเสริมผลประโยชน์ทางธุรกิจของเยอรมนี แต่ท้ายที่สุด แมร์เคิลไม่สามารถทำตามแรงจูงใจเหล่านี้ได้สำเร็จ
ยิ่งไปกว่านั้น การตัดสินใจของแมร์เคิล ในการปิดโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่เหลืออยู่ของเยอรมนี หลังเกิดภัยพิบัติกับโรงไฟฟ้าฟุกุชิมะของญี่ปุ่น เมื่อปี 2554 ถือเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดอย่างมหันต์ เนื่องจากเยอรมนี มีกำลังการผลิตพลังงานหมุนเวียนมากกว่าประเทศอื่น ๆ ในโลก ยกเว้นสหรัฐและจีน แต่ธุรกิจต่าง ๆ ของประเทศ กลับต้องพึ่งพาก๊าซธรรมชาติเหลว (แอลเอ็นจี) ที่มีราคาแพง ซึ่งต้นทุนดังกล่าวทำให้ผู้ผลิตหลายรายประสบกับความยากลำบาก.
เลนซ์ซูม
เครดิตภาพ : GETTY IMAGES