เจอดราม่าแบบฉ่ำๆ พิสูจน์ความเป็นผู้นำของ “ลูกอิ๊งค์” แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี หลังเจอเกรียนคีย์บอร์ดโจมตี ไม่ลงพื้นที่ไปช่วยน้ำท่วมใต้ แต่กลับหอบลูกและสามีขึ้นเหนือในช่วงประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่อย่างเป็นทางการ (ครม. สัญจร) จังหวัดเชียงใหม่ และลงพื้นที่ตรวจราชการจังหวัดเชียงราย เมื่อวันที่29 พ.ย.-1ธ.ค. ท่ามกลางความทุกข์ระทมของชาวใต้
ยังเจอดราม่าต่อเนื่องหนักอีกระลอก หลังไปตอกกลับโชเชียล “คำว่าละเลยภาคใต้ สามีเป็นคนใต้ ครอบครัวสามีเป็นคนใต้ ถ้าละเลยคนใต้ ไม่รักคนใต้ แต่งงานคนใต้ไม่ได้ ขอให้เปิดใจในเรื่องนี้ อย่าคิดว่าดิฉันเป็นคนเหนือ ไม่ใช่เลยที่จะต้องมีดราม่าในเรื่องนี้”
รวมถึงไปโพสต์ตอบโต้คนที่เข้ามาคอมเม้น ว่า “Your negativity is a reflection of your own reality ความคิดเชิงลบของคุณสะท้อนถึงตัวตนคุณเอง”และโพสต์อีกข้อความว่า “Insecure people put others down to raise themselves up คนที่ไม่มีความมั่นใจ กดคนอื่นให้ต่ำลง เพื่อยกตนเองให้สูงขึ้น”
ทำทัวร์มาลงกันแบบฉ่ำๆ จนเกิดคำถามลามไปถึงภาวะความเป็นผู้นำของ “นายกฯอิ๊งค์” ตั้งแต่เข้ามารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 31 ซึ่งอายุน้อยที่สุดของประเทศ ที่หลายคนมองว่าภาวะผู้นำ ขอไม่ผ่านถือว่าสอบตกต้องรีบแก้ไขด่วนๆ
อย่างที่อดีตสมาชิกวุฒิสภา (สว.) “วันชัย สอนศิริ” ได้ออกมาติงถึง “บุคลิกนายกฯอิ๊งค์” 3 เรื่อง จี้ไปที่ทีมงานของ “นายกฯอิ๊งค์” ควรรีบแก้ไขโดยด่วนๆ แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อย มันก็บานปลายกลายเป็นเรื่องใหญ่โตได้
ทั้ง1.บุคลิกลักษณะการแต่งแต่งตัว เสื้อผ้าหน้าผม รองเท้า เขาพูดกันเยอะ นายกฯ ผู้หญิง มันต่างกับนายกฯ ผู้ชาย ควรจะพิถีพิถันให้มันเหมาะสม 2.ท่าทีการให้สัมภาษณ์ แสดงออกถึงความรู้ความสามารถและการเตรียมตัว ที่แล้วมาบ่งบอกถึงความไม่พร้อม ไม่มีการเตรียมตัว มือไม้หน้าตามันเลิกลัก ระเกะระกะ ตื่นเต้น ประหม่า ซึ่งคนที่เป็นผู้นำไม่ควรจะเป็นอย่างนี้ 3.เรื่องครอบครัว“นายกฯ อิ๊งค์”หอบสามีและลูกไปมาในหลายครั้งหลายโอกาส เขาวิจารณ์กันเยอะ เรื่องครอบครัวก็เป็นเรื่องของครอบครัว หลังบ้านก็คือหลังบ้าน ควรวางตัวให้เหมาะสมควรเอาไปในบางโอกาส เพราะอย่าลืมว่า เราคือนายกฯ ของคนไทย เรื่องอย่างนี้ไม่ควรจะให้ใครมาว่าได้
“นายกฯอิ๊งค์”ต้องยอมลดราวาศอก ปรับปรุงตัว และหัดเป็นน้ำที่ไม่เต็มแก้วยอมรับฟังรับสิ่งดีๆ หันมาพัฒนาตัวเอง ให้คนอื่นเห็นความสามารถ โชว์ฝีมือตัวเองจริงๆ แสดงความมีภาวะผู้นำให้ได้ ไม่ใช่แสดงบทความเป็น “ลูกของพ่อทักษิณ” ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จนทำให้ปัญหาถาโถมเข้ามาทำลายศรัทธาลงไปอีก
“ถึงเวลาแล้วที่ต้องโชว์ความมีศักยภาพ ในเรื่องของความเป็นผู้นำ ให้รู้ว่าสามารถที่จะนำพาประเทศให้อยู่รอดปลอดภัยและเป็นที่พึ่งพิงของประชาชนได้ ไม่เช่นนั้นการตั้งหวังจะอยู่รอดครบ4ปีคงเป็นไปได้ยาก”
เพราะเมื่อพลิกกระดานการเมืองดูแล้ว จะเห็นว่ามีศึกหนักตีประชิดมารอบด้าน โดยเฉพาะเวทีสภาที่ฝ้ายค้านรอฟาด ซึ่งจะเริ่มเปิดวันที่ 12 ธันวาคม67ไปจนถึงเมษายน 68
โดยเฉพาะ “พรรคประชาชน” ประกาศจองกฐิน กวักมือเรียก“นายกฯอิ๊งค์” เลี้ยวเข้าสภามาตอบกระทู้และญัตติฝ้ายค้านด้วย พร้อมเล็งใช้สิทธิ์เปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจแบบลงมติ ตามมาตรา 151 พร้อมประกาศเรียกใครมีหลักฐาน เด็ดต้องการให้ฝ่ายค้ายชำแหระแบบแซ่บๆ ก็ส่งเข้ามาได้เลย
สงครามศึกซักฟอกครั้งที่จะถึงนี้ จะรอดหรือไม่รอดก็ต้องจับตาดู เพราะมีประเด็นร้อนหลายประเด็น ทั้งประเด็นที่ เจ้าพ่อม็อบ “สนธิ ลิ้มทองกุล” แกนนำพันธมิตรเพื่อประชาชน ออกโรงประกาศจะเดินทางมาที่ทำเนียบรัฐบาล ยื่นหนังสือต่อ “นายกฯอิ๊งค์” ในวันที่ 9 ธ.ค.เพื่อถามหาความชัดเจนโดยตรงกับ “นายกฯแพทองธาร” พร้อมจี้ให้ยกเลิกเอ็มโอยู 44 หวั่นสูญเสียอธิปไตย แต่ถ้าไม่ยกเลิกเจอก็ม็อบลงถนนแน่นอน ซึ่ง “ผู้เฒ่าสนธิ” บอกจะเป็นครั้งสุดท้ายของชีวิต ซึ่งเรื่องนี้อาจจะลามไปสู่เวทีสภาในการอภิปรายไม่ไว้ใจของฝ่ายค้านที่จ้องฟาด ประเด็นนี้ด้วย
และยังมีเรื่องที่ดินธรณีสงฆ์ ของยายเนื่อม ที่ถูกขายมาทำสนามกอล์ฟอัลไพน์และบ้านจัดสรร โดยที่ “นายกฯแพทองธาร” เข้าไปถือหุ้น
ปัญหาเรื่องคดีตากใบที่ปล่อยให้ผู้ต้องหาหลบหนีจนหมดอายุความ และจนป่านนี้ยังจับใครไม่ได้เลย กลายเป็นเชื้อไฟสุมทำไฟใต้ปะทุขึ้นมาอีกระลอกแล้ว
ขณะเดียวกันยังมีปมชั้น 14 นักโทษเทวดา “ทักษิณ ชินวัตร” ที่ถูกศาลตัดสินต้องโทษกลับไม่ได้นอนคุกสักวันเดียว บวกกับการเดินเกมวางหมากระเบิดเปิดทางให้ “น้องปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กลับบ้านตามที่ “พี่แม้ว” ประกาศไว้จะพา “น้องปู”กลับมาแบบนางฟ้าสวย เพื่อมาเล่นสงกรานต์เดือนเมษายน ปี68 ให้ได้
ซึ่งจะกลายเป็นประเด็นรอเขย่ารัฐบาล จนตึกไทยคู่ฟ้าต้องสั่นสะเทือนได้
เพราะผู้ต้องขังคดีจำนำข้าวก็ถูกทยอยปล่อยออกมาคุมขังที่บ้านพักนอนนอกคุกแล้วเพราะเข้าตามเกณฑ์เงื่อนไขตามระเบียบการพักโทษของกรมราชทัณฑ์
ที่ล่าสุด“บุญทรง เตริยาภิรมย์” อดีตรมว.พาณิชย์ ซึ่งเป็นหนึ่งในจำเลยคดีจำนำข้าวที่ถูกจำคุกเป็นเวลา 48 ปี และเพิ่งได้รับการพักโทษ โดยให้ถูกคุมประพฤติกลับที่บ้านพักเป็นเวลา 3 ปี 5 เดือน
ขณะที่“เสี่ยเปี๋ยง” “อภิชาติ จันทร์สกุลพร” นักธุรกิจค้าข้าวรายใหญ่ 1 ในผู้ต้องขังกลุ่มคดีจำนำข้าว ชี้เข้าเกณฑ์จำคุกมาแล้วไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 พ่วงสูงอายุ 70 ปีขึ้นไป เจ็บป่วยร้ายแรงรวม 8 โรค
และก่อนหน้านี้ “ภูมิ สาระผล” อดีต รมช.พาณิชย์ที่เป็นหนึ่งในผู้ต้องขังได้ปล่อยตัวไปก่อนหน้านี้ แล้ว
ยิ่งทำให้หลายคนนึกไปถึงคำพูดของ “นายใหญ่ทักษิณ” ที่เชื่อมโยงไปถึง “ยิ่งลักษณ์” จะได้กลับไทยก่อนสงกรานต์ มีความเป็นไปได้มากขึ้น
โดยเฉพาะกรณีเงื่อนไขการ “คุมขังนอกเรือนจำ” ที่ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม ได้แย้มถึงแนวทางความคืบหน้า ว่า ระเบียบกรมราชทัณฑ์ ว่าด้วยการดำเนินการสำหรับการคุมขังในสถานที่คุมขัง พ.ศ.2566 หรือการ “คุมขังนอกเรือนจำ” รอกรมราชทัณฑ์พิจารณาออกหลักเกณฑ์การปฏิบัติตามระเบียบ กำหนดคุณสมบัติ และต้องเปิดกว้างให้ประชาชนรับรู้ ทำประชาพิจารณ์ ก่อนประกาศราชกิจจานุเบกษา คาดว่าน่าจะทันใช้สิ้นปี 67 จะได้เห็นผู้ต้องขังล็อตแรกทดลองใช้ระเบียบฉบับนี้ แต่ต้องรอประกาศราชกิจจานุเบกษา เสียก่อน จะเป็นไปตามหลักกฎหมาย เรือนจำฯ มีไว้ออก ไม่ใช่เข้าอย่างเดียว สอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชน เช่น ผู้ป่วยมะเร็ง หญิงตั้งครรภ์ หรือผู้สูงอายุที่ไม่ก่อเหตุร้ายซ้ำ
แต่ถึงอย่างไรก็ยังต้องจับตา เรื่องการสางแค้น คดีรุกที่ดิน ส.ป.ก. กรณี “ไร่ภูนับดาว” อ.มวกเหล็ก จ.สระบุรี กลายเป็นประเด็นร้อน เนื่องจากมีการเปิดข้อมูล “เส้นเงิน” เชื่อมโยงหวานใจ “บิ๊กการเมือง” พร้อมแจกคดีรัวๆ กับคนบ้านป่า
อีกทั้งยังมีประเด็นร้อนเรื่อง การแก้รัฐธรรมนูญที่แต่ละพรรคได้ประกาศเอาไว้จะมีการแก้รัฐธรรมนูญให้แล้วเสร็จในรัฐบาลนี้ แต่สุดท้าย “นิกร จำนง” ออกมาชี้ ว่า ไม่สามารถแก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับได้ทันในรัฐบาลชุดนี้ เพราะรัฐธรรมนูญฉบับนี้ดูเหมือนจะได้ประโยชน์กับพรรคภูมิใจไทยมากที่สุด ดูได้จากการได้มาซึ่งสว.ทำให้พรรคภูมิใจไทยกุมอำนาจสภาสูงไว้ต่อรองได้
งานนี้ “รัฐบาลแพทองธาร” เจอทั้งศึกในประเทศที่รุมเร้าแล้วยังมีศึกความมั่นคงของประเทศรุมเร้าด้วย ทั้งเอ็มโอยู 44 ที่มีคำประกาศจาก “สนธิ ลิมทองกุล” ประกาศลงถนนครั้งสุดท้ายของชีวิต หากไม่ยกเลิกเอ็มโอยู44 แล้วยังมีเรื่องกองทัพว้าแดง รุกชายแดนไทย และล่าสุดที่เมียนมายิงใส่เรือประมงไทย
ทั้งหมดถือว่าเป็นเรื่องอันตรายและอ่อนไหว อีกทั้ง“นายกฯอิ๊งค์” ยังมีศัตรูของพ่อมาเป็นต้นทุน ถ้ายัง“ไม่ปรับเปลี่ยนท่าที” สลัดภาพลูกแหง่ ความเป็นลูกของพ่อมาเป็นผู้นำของประเทศ โชว์ความสามารถให้เห็นเป็นที่ประจักษ์ และ “ทักษิณ” ยังไม่ลดความเหิมเกริมลง รับรองได้ว่าทั้ง “2พ่อลูก” เจอศึกหนักจบไม่สวยแน่นอน.