เป็นปัญหารุมเร้ารัฐบาลสำหรับสถานการณ์ความมั่นคงรอบบ้านที่ปะทุขึ้นพร้อมกันในช่วงเวลานี้ ไม่ว่าเป็นกรณี MOU 44 ปมปัญหาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลไทย-กัมพูชา กรณีกลุ่มว้าแดงรุกล้ำเขตแดนไทย หรือล่าสุดเรือรบเมียนมายิงเรือประมงไทย “คอลัมน์ตรวจการบ้าน” ต้องมาสนทนากับ “วิโรจน์ ลักขณาอดิศร”รองหัวหน้าพรรคประชาชนและประธานคณะกรรมาธิการการทหาร สภาผู้แทนราษฎร ที่จะมาวิพากษ์บทบาทของกองทัพและรัฐบาลต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

โดย “วิโรจน์” เปิดประเด็นว่า ต้องยอมรับว่าปัญหาตอนนี้การเมืองภายในประเทศของเมียนมาเอง ก็อยู่ในสภาวะที่ไร้เสถียรภาพ อำนาจของรัฐบาลกลางมีจำกัด รัฐบาลเมียนมาไม่ได้มีอำนาจเต็มเหมือนเดิม ทั้งนี้เมื่อวันที่ 27 พ.ย.มีข่าวการยื่นเรื่องต่อศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) เพื่อขอออกหมายจับ พล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย ผู้บัญชาการทหารสูงสุดของเมียนมา ข้อหาก่ออาชญากรรมละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อชาวโรฮิงจา ทุกคนคงรู้อยู่แล้วว่าความเป็นปึกแผ่นหรืออำนาจรัฐของรัฐบาลทหารพม่ามันไม่เข้มแข็งแล้ว
ดังนั้นการประสานงานหรือการหารือกันระหว่างรัฐต่อรัฐ ประสิทธิภาพมันจึงไม่เท่าเดิม ในกรณีว้าแดงมีปัญหามายาวนานมากแล้ว ทุกครั้งที่เรากดดันเขา ก็ไม่ค่อยเป็นผล คิดว่ามีความจำเป็นอย่างมากที่ต้องขอประสานไปยังทางจีนมากกว่า เพราะจีนน่าจะมีอิทธิพลกับว้าแดงมากกว่ารัฐบาลกลางเมียนมาด้วยซ้ำไป เพราะดูแล้วอิทธิพลของว้าแดง ดูเหมือนจะเป็นอิสระจากรัฐบาลทหารเมียนมา
ส่วนกรณีเรือรบเมียนมายิงเรือประมงไทย ตอนนี้ทราบข้อมูลใหม่ล่าสุดก็ คือว่า น่าจะเข้าไปในพื้นที่ที่ทางเมียนมาอ้างสิทธิ์ว่าเป็นของเขา คือห่างจากเกาะพยามประมาณ 12 ไมล์ทะเล ข่าวเดิมคือห่าง 5 ไมล์ทะเล แต่ล่าสุดข่าวที่ผมตามมาคือห่าง 12 ไมค์ทะเล ก็ห่างกัน 20 กม. แต่การที่ยิงอาวุธสงครามเข้ามาที่เรือในลักษณะที่กระทำขึ้นครั้งนี้ มันคือการหมายเอาชีวิต ไม่ได้เป็นการยิงเตือน คำถามคือถ้าเราเชื่อว่าเขาทำผิดหลักการสากล แล้วเราต้องลุยกับเขาเลยหรือ ผมว่าเราก็ต้องยึดหลักการสากลด้วยเช่นกัน ซึ่งมีวิธีการทางการทูตที่จะเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับชาวประมงไทยที่ดีกว่าการรบ ผมไม่ได้หมายความว่าจะต้องกลัวการรบ แต่การรบนั้นจะเป็นขั้นตอนสุดท้ายที่เราตัดสินใจอะไรไม่ได้ สิ่งหนึ่งที่สำคัญตอนนี้ก็คือการแสดงแสนยานุภาพทางการทหารและการมีจุดยืนที่มั่นคงและใช้การทูตที่มีประสิทธิภาพ

สำหรับกรณี “เกาะกูด” เท่าที่ติดตามความกังวลว่าเราจะเสียดินแดนนั้น เรื่องนี้น่าจะมีน้อยมากๆ เรียกว่าไม่ได้เป็นเรื่องที่ต้องกังวลมากขนาดนั้น อาจจะต้องจับตาดูและวางใจยังไม่ได้ เพราะว่าการเมืองระหว่างประเทศก็ต้องติดตามดู แต่ไม่ใช่เป็นเรื่องที่ถึงกับว่าเราจะต้องเสียดินแดนแล้ว เท่าที่ติดตามนักวิชาการหลายท่านก็ออกมาชี้แจงในเรื่องอาณาเขตดินแดนทางทะเลที่เป็นพื้นที่ทับซ้อนซึ่งมีความจำเป็นในเรื่องการบริหารจัดการทรัพยากรในพื้นที่ทับซ้อนร่วมกันเท่านั้นเอง
@มองท่าทีของกองทัพไทยต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างไร หลายคนมองว่าการทหารไม่เข้มแข็งและรัฐบาลอ่อนแอ
สิ่งที่กองทัพทำผมคิดว่าถูกต้องแล้ว เพราะต้องอดทนให้มาก ผมเห็นบางข้อมูลแล้วผมไม่สบายใจมากในความรู้สึก เช่น รบเลย ซึ่งไม่น่าจะเป็นเรื่องที่เหมาะสม นอกจากนั้นผมยังเห็นกระแสในอินเทอร์เน็ตที่เรียกว่ามีการปลุกความเป็นชาตินิยม ปั่นความเป็นชาตินิยมว่าเราต้องออกไปรบกับเขา ผมคิดว่ากองทัพที่ดีจะต้องอดทนอดกลั้นให้มาก เพราะว่าถ้าเราตัดสินใจที่จะลั่นกระสุนนัดแรกไปแล้ว มันมีปัญหาตามมาที่ต้องจัดการอีกมาก ท่าทีของทหารไทยไม่จำเป็นต้องก้าวร้าวแต่ว่าต้องมีจุดยืนที่มั่นคง ที่ทำให้ประชาชนมีความมั่นใจได้ว่าทหารไทยเราก็ยึดความถูกต้องเป็นหลัก
ที่ผ่านมาในส่วนของทหารเรือทำหน้าที่ได้ดีมากๆ ผมเคยไปหารือกับกองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด และ ค่ายเทวาพิทักษ์ จ.จันทบุรี เขาก็มีเจ้าหน้าที่ดู สิ่งที่น่าห่วงน่าจะเป็นบริเวณ ต.หาดเล็ก อ.คลองใหญ่มากกว่า เพราะว่าพื้นที่ตรงนั้นก็เป็นพื้นที่ของไทย แต่ได้รับทราบรายงานว่ามีประชาชนชาวกัมพูชา ปลูกบ้านเรือนล้ำเข้ามาในส่วนที่เป็นพื้นที่ทับซ้อนในบริเวณดังกล่าว ดังนั้นต้องบริหารจัดการพื้นที่ตรงนี้และพื้นที่ทับซ้อนต่างๆ ให้ดี เราต้องยืนหยัด ต้องแข็ง แต่คำว่าแข็งของเราไม่ได้หมายความว่าจะต้องลั่นกระสุนนัดแรกเข้าไป ส่งทหารไปบุก เขา เพราะถ้าเราบุกกันจริงๆ เรารับได้หรือ
“มันคุ้มหรือกับการสูญเสีย มันคุ้มหรือกับการเกิดสงคราม และถ้าเราเป็นฝ่ายเริ่มหรือใช้กำลังรุนแรงก่อน ถ้ามันมีเหตุปักปันเขตแดนจริง เราจะได้ดินแดนตรงนั้นจริงหรือ ถ้ามีการเมืองระหว่างประเทศเข้ามาแทรก ดังนั้นจึงต้องระมัดระวังและรอบคอบอย่างมาก มันเป็นเรื่องที่เปราะบาง ซึ่งยืนยันว่าตอนนี้ทหารไทยทำหน้าที่ตามหน้าที่แล้ว ทั้งในส่วนของ MOU 44 ว้าแดง และเรือรบพม่ายิงเรือประมงไทย”
@นโยบายพรรคประชาชนจะทำให้กองทัพเข้มแข็งได้อย่างไร ที่ผ่านมามีการคัดค้านเรื่องเรือดำน้ำ หรือการซื้ออาวุธต่างๆ จะทำให้กองทัพอ่อนแอลงหรือไม่
เรื่องนี้เป็นความเข้าใจผิดว่า “พรรคประชาชน” เราจะไปตัดงบทหาร ถ้าดูการอภิปรายของผมเรื่อยมา ล่าสุดผมก็พูดถึงว่าเรามีงบประมาณในการซ่อมสร้างน้อยเกินไปจนทำให้ยานเกราะต่างๆ เรามีการดำรงสภาพต่ำกว่าเป้าหมาย หรือกรณีควรจะต้องลงทุนในเรื่องโดรนได้แล้ว รวมทั้งในกรณีการจัดซื้อเครื่องบินขับไล่ใหม่ของกองทัพอากาศ “พรรคประชาชน” ไม่ได้แย้งเลย แต่เราบอกว่า จะต้องมีนโยบายพ่วงที่ทำให้เกิดประโยชน์กับพลเรือนร่วมด้วย มีการถ่ายทอดเทคโนโลยี เพื่อความยั่งยืนของกองทัพ
“ดังนั้นนโยบายของเราคือการสร้างความเข้มแข็งให้กับกองทัพอย่างยั่งยืน ไม่ได้ต้องการทำให้กองทัพอ่อนแอเลย หรือกรณียกเลิกการเกณฑ์ทหาร เราต้องการสร้างทหารอาชีพ ต้องการมีการว่าจ้างทหารเป็นสัญญาระยะยาว ใช้ระบบสมัครใจ ระยะยาวเราก็สามารถที่จะฝึกทหารให้กับคนที่เขาอยากเป็นทหาร และมีระยะเวลาในการประจำกันที่นานกว่า 2 ปี เป็นทหารอาชีพที่มีประสิทธิภาพมากกว่าการเกณฑ์ นโยบายของอนาคตใหม่ ก้าวไกล มาจนถึงพรรคประชาชน เราต้องการสร้างทหารที่มืออาชีพ เน้นพัฒนาเทคโนโลยีและส่งเสริมอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ”
@มองว่าการนำประเด็นความมั่นคงมาปลุกกระแสในสังคมจะทำให้รัฐบาลอายุสั้นลงหรืออยู่ไม่ครบเทอมหรือไม่
ผมว่ารัฐบาลต้องแถลงถึงข้อเท็จจริงของประเด็นเหล่านี้ สังเกตหรือไม่ว่าผมไม่เคยเอาเรื่องนี้มาโจมตีรัฐบาลเลย แต่ไม่ได้หมายความว่าผมเข้าข้างรัฐบาล เพราะผมโฟกัสที่ข้อเท็จจริง ถ้าข้อเท็จจริงมีการขายชาติจริง อันนี้เราก็คงอัดไม่เลี้ยงอยู่แล้ว แต่ถ้าข้อเท็จจริงมันไม่ใช่เราก็ไม่ควรจะหยิบเอาประเด็นนั้นประเด็นนี้มากล่าวหา เพราะว่าการกล่าวหาด้วยการเอาสถาบันหลักของชาติ ไม่ว่าจะเป็นชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ มากล่าวหากัน มันมีผลกระทบในเชิงลบผูกพันต่อเนื่องและมันแก้ยาก ดังนั้นเรื่องนี้จะต้องเป็นงานละเอียด งานหยาบไม่ได้ ต้องโฟกัสที่ข้อเท็จจริง เราไม่ได้ค้านแบบเอาเรื่องสถาบันหลักของชาติมาใส่ร้ายกัน ผมคิดว่ามันไม่ใช่ทางของเรา
อย่างกรณีเกาะกูด มันไม่ใช่เป็นประเด็นที่ชัดแจ้งขนาดนั้น เราก็เฝ้าติดตามกันต่อไปอย่างใกล้ชิด แต่ไม่ใช่ว่าเอามาปูดเอามาเปิดกัน สาดข้อมูลจริงบ้างเท็จบ้าง ข้อมูลยืนยันบ้างยังไม่ยืนยันบ้าง สาดไปสาดมาเรื่อยๆ ปรากฏว่าประเทศเพื่อนบ้านเขาอาจสบช่องเอาไปฟ้องศาลโลก เหมือนกรณีเขาพระวิหาร ดังนั้นเรื่องนี้จึงต้องระมัดระวัง ว่าจะกลายเป็นเรื่องเราทำตัวเองด้วยหรือไม่.