Blue Period Live Action ภาพยนตร์ญี่ปุ่นไลฟ์แอ็คชั่น ที่สร้างจากมังงะและอนิเมะชื่อดังดีกรีรางวัล Manga Grand Prize 2020 ของอาจารย์ “ซึบาสะ ยามากุจิ” กำกับโดย “เคนทาโร่ ฮากิวาระ” ซึ่งเคยฝากผลงานไว้กับหนังไลฟ์แอ็คชั่น Tokyo Ghoul และได้นักเขียนบทเวอร์ชั่นอนิเมะ “เรอิโกะ โยชิดะ” มาช่วยเขียนบทเวอร์ชั่นหนังด้วย
Blue Period เล่าถึงเรื่องราวของ “ยัคคุง” ยาโทระ ยากุจิ เด็กนักเรียนมัธยมปลายผู้มีผลการเรียนยอดเยี่ยม แต่ไม่มีความฝัน ใช้ชีวิตไปวัน ๆ อย่างว่างเปล่ากับกลุ่มเพื่อน จนกระทั่งเขาได้ค้นพบกับความหลงใหลของตัวเองจากชั้นเรียนวิชาศิลปะ กับหัวข้อ “ภูมิทัศน์ที่ฉันชอบ” ซึ่งอาจารย์สั่งให้วาด เขาได้วาดภาพ “ชิบุยะสีฟ้า” และค้นพบว่าสามารถสื่อสารกับคนอื่นจริง ๆ ได้เป็นครั้งแรกในชีวิต สามารถเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงได้เป็นครั้งแรก จากนั้นเขาก็หลงใหลในโลกของศิลปะ หมกมุ่นกับงานศิลปะ และตั้งมั่นที่จะสอบเข้ามหาวิทยาลัยศิลปะ เพื่อเป็นศิลปินมืออาชีพให้จงได้
นี่คือหนึ่งในอนิเมะเรื่องโปรดของ “หมีเช” ส่วนตัวเคยใฝ่ฝันอยากได้ดำเนินชีวิตในช่วงค้นหาตัวตนแบบ ยัคคุง แต่ไม่มีโอกาส Blue Period จึงเปรียบเสมือนสิ่งเติมเต็มชีวิตส่วนที่ขาดหายไปของ “หมีเช” ตั้งแต่ได้ดูอนิเมะแล้ว และสำหรับเวอร์ชั่นภาพยนตร์ ถือเป็นหนึ่งในผลงานชิ้นโบแดงของผู้เกี่ยวข้องทุกคนอย่างแท้จริง เพราะทุกอย่างออกมาแทบจะสมบูรณ์แบบ สำหรับมุมมองของแฟนคลับเรื่องนี้อย่าง “หมีเช”
Blue Period Live Action เหมือนเป็นหนังปล่อยของจากเหล่าทีมงานและนักแสดง เชื่อว่าทุกคนที่เดินทางมาสายบันเทิง ย่อมมีความเป็นศิลปินในตัวอยู่แล้ว มากน้อยแตกต่างกันไป และงานอย่าง Blue Period คือโอกาสทองฝังเพชรที่พวกเขาจะได้ปลดปล่อยความเป็นศิลปินในตัวเองออกมา ทำให้หนังเรื่องนี้น่าทึ่ง ทำถึง และทรงพลังสุด ๆ
ในส่วนของทีมนักแสดง คัดเลือกมาได้ดีมาก ๆ แต่ละคนเหมือนหลุดออกมาจากมังงะเลย ไม่ว่าจะเป็น “กอร์ดอน มาเอดะ” น้องชายสุดหล่อของ แมคเคนยู อาราตะ (รับบทเป็น ยาโทระ ยากูจิ), “ฟุมิยะ ทาคาฮาชิ” (รับบทเป็น ริวจิ อายุคาวะ), “ริฮิโตะ อิตากาคิ” (รับบทเป็น โยทาสุเกะ ทาคาฮาชิ), “ฮิโยริ ซากุราดะ” (รับบทเป็น มารุ โมริ)
สำหรับคนที่รู้สึกว่ามังงะและอนิเมะ Blue Period ไม่ตรงจริตกับตัวเองสักเท่าไหร่ เพราะไม่ได้เป็นเด็กสายศิลป์ ไม่ชอบวาดรูป แต่ในฉบับหนังไลฟ์แอ็คชั่น ปัญหาตรงนี้จะหมดไปทันที ด้วยระยะเวลาแค่ 115 นาที หนังจำเป็นต้องตัดรายละเอียดเกี่ยวกับการวาดภาพต่าง ๆ ออกไปจนเกือบหมด เพื่อเดินเรื่องให้ Blue Period เริ่มต้นและจบได้อย่างสมบูรณ์สวยงาม ซึ่งทำออกมาได้ดีมาก ๆ หนังมีความกลมกล่อมสุด ๆ คนที่ไม่ได้ชื่นชอบศิลปะ ไม่ได้อยากเป็นนักวาดรูป ก็สามารถสนุกกับหนังเรื่องนี้ได้อย่างเต็มที่ แก่นของหนังพูดถึงการ “ทำตามความฝัน” มุ่งมั่นที่จะไล่ล่าความฝัน ขยันหมั่นเพียรและอดทน เพื่อไปให้ถึงฝัน
หนังตอบคำถามที่หลาย ๆ คนสงสัย และบางคนอาจกำลังค้นหาคำตอบอยู่ คนที่ไม่เคยมีความฝัน เมื่อได้เจอสิ่งที่หลงใหล การที่เราจะทุ่มเทเต็มที่เพื่อสิ่งนั้น ก็เป็นเรื่องปกติไม่ใช่เหรอ!! และการที่เราตัดสินชีวิตในช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อ เพียงเพราะแค่ชอบหรือแค่สนุก เราสามารถทำแบบนั้นได้จริง ๆ เหรอ คนที่ไล่ตามความฝันได้สำเร็จ ทำไมถึงไม่ใช่เรา และถ้าเราทำไม่ได้ เราจะใช้ชีวิตต่อไปยังไง ทั้งหมดมีตัวละครที่เปรียบเสมือนตัวเราอยู่ในหนังเรื่องนี้แน่ ๆ สักคนหนึ่ง ซึ่งอาจช่วยไขข้อข้องใจที่เราเคยสงสัยมานานให้คลี่คลายลง
นอกเหนือจากเรื่องการไล่ตามความฝันในช่วงวัยค้นหาตัวตนแล้ว Blue Period ยังสอดแทรกเรื่องของ LGBTQIA+ ผ่านตัวละครริวจิ ที่ดูเหมือนจะเป็นผู้แพ้ในหนังเรื่องนี้ แต่ชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไป รวมทั้งเรื่องราวความรักความผูกพันของเพื่อนและครอบครัว
แถมยังมีฉากเซอร์วิสแฟน ๆ ของ กอร์ดอน มาเอดะ และ ฟุมิยะ ทาคาฮาชิ ด้วย รับรองฟินตัวแตก!!!!
ด้านเพลงประกอบของ Blue Period Live Action ถือเป็นอีกหนึ่งจุดเด่นของหนังเรื่องนี้เลย ได้ Yaffle มารับหน้าที่สำคัญนี้ ไปฟังกันได้เลย..
5/5
“Blue Period Live Action” สำหรับ “หมีเช” คือ The Best ของหนังปีนี้ สาเหตุเพราะมีอะไรหลาย ๆ อย่างในหนังที่ Related ถึงตัวเราตั้งแต่อนิเมะแล้ว พอมาทำหนังก็เอาใจช่วยเป็นพิเศษ และทำออกมาได้ดีจริง ๆ มันทรงพลังกว่ามังงะและอนิเมะมาก มีหลาย ๆ ฉากในหนังที่เปรียบเสมือนงานศิลปะชั้นดี ใช้เทคนิคพิเศษต่าง ๆ มากมายในการถ่ายทำออกมาได้อย่างน่าทึ่งสุด ๆ ทีมงานนักแสดงก็ยอดเยี่ยม ฉากดราม่าเรียกน้ำตา ต้องบอกว่า “หมีเช” น้ำตาอุ่น ๆ ไหลลงมาเป็นสายน้ำเลย ไหลไม่หยุด โดยเฉพาะฉากที่ยัคคุงพูดกับแม่ว่า “มือของแม่หยาบกระด้างจากน้ำยาล้างจาน และการถือของหนัก ผมคงไม่ได้สังเกตเห็นมัน ถ้าผมไม่ได้วาดภาพ” เป็นหนังที่ควรค่าแก่การรับชมอย่างที่สุด ไปดูเถอะ ถือว่าขอร้องละ!!!!