ประสบความสำเร็จอย่างมากมายสำหรับละครเรื่อง “พรหมลิขิต” ที่ออกอากาศทางช่อง 3 จนกลายเป็นกระแสที่คนทั้งประเทศพูดถึง ไม่ว่าจะด้วยเนื้อหาของเรื่อง ตลอดจนประวัติศาสตร์ที่สอดแทรกอยู่ภายในละคร แม้กระทั่งเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายของนักแสดง ตลอดจนอาหารที่นำเสนออยู่ในเรื่องก็ได้รับความสนใจอย่างมาก ซึ่งทุกๆองค์ประกอบในละครเรื่องพรหมลิขิตได้กลายเป็น “Soft Power” ของอุตสาหกรรมบันเทิงไทยได้อย่างน่าอัศจรรย์ วันนี้ yimyim เลยไม่พลาดมาชวนดูเบื้องหลังความสำเร็จนี้กันจ้า
ยิ่งละครเรื่อง “พรหมลิขิต” ที่ล่าสุดคว้ารางวัล D-Soft Power จากงานประกาศรางวัล Dailynews Awards 2024 โดยมี นายประสพ เรียงเงิน อธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม เป็นผู้มอบรางวัล ไปได้หมาดๆ ซึ่งละครเรื่องนี้ถือเป็นภาคต่อของละครที่ประสบความสำเร็จจนกลายเป็นทอล์คออฟเดอะทาวน์ไปก่อนหน้านี้แล้วอย่างละครเรื่อง “บุพเพสันนิวาส” ก็บอกเลยว่าผู้ผลิตอย่างบริษัท บรอดคาซท์ ไทยเทเลวิชั่น จำกัด ก็จัดเต็มเช่นกัน เพราะถือเป็น “ความกดดัน” สำคัญในการทำงาน เพราะยิ่งละครประสบความสำเร็จมากเท่าใด ทีมงานและนักแสดงก็ยิ่งตั้งใจและใส่ใจไปกับการทำงานในชิ้นงานต่อไปมากขึ้นเท่านั้น เหมือนกับพรหมลิขิตที่ได้สานต่อความตั้งใจของนักแสดงและทีมงานออกมาผ่านการพูดถึงในโลกออนไลน์เป็นอย่างดี และทำให้คำว่า Soft Power ของรัฐบาล ภายใต้การนำของ นายกอิ้งค์–แพทองธาร ชินวัตร โดยกรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม กับนโยบายผลักดัน Soft Power ของวงการบันเทิงให้เป็นใบเบิกทางให้ประเทศไทยเป็นที่รู้จักในตลาดโลกมากขึ้น
วันนี้ “เดลินิวส์” จะพาทุกคนไปถอดรหัสความสำเร็จของพรหมลิขิต ละครอิงประวัติศาสตร์เรื่องนี้กันว่าทำไมแค่ละครเรื่องเดียวถึงทำให้ประเทศไทยกลายเป็นหมุดหมายสำคัญที่คนทั้งโลกต่างพากันปักหมุดมาตามรอยละครกันอย่างมากมาย
ประการแรก พรหมลิขิต เป็นละครอิงประวัติศาสตร์ที่ย่อยง่าย หมายถึงเข้าใจง่าย ดูสนุก ด้วยเนื้อหาและการนักแสดงของนักแสดงนำอย่างพระเอกหนุ่ม โป๊ป ธนวรรธน์ , เบลล่า ราณี , เกรท วรินทร , รวมถึงนักแสดงคนอื่นๆที่แสดงเข้าขาและรู้มุมกันดีอยู่แล้ว ตั้งแต่ภาคแรกอย่างบุพเพสันนิวาส ก็ยิ่งทำให้ละครดูลื่นไหล แถมตัวละครในประวัติศาสตร์หลายๆคน แม้เด็กรุ่นใหม่หรือใครหลายๆคนที่ไม่เคยอ่านผ่านตามาก่อน แต่พอได้เห็นตัวละครในประวัติศาสตร์ผ่านละครแล้วก็บอกเลยว่าเข้าใจมากขึ้นและรู้ที่มาที่ไปของบุคคลสำคัญแต่ละครเป็นอย่างดี
ประการที่สอง พรหมลิขิต สอดแทรกความสวยงามผ่านคำพูด เสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย อาหารและสถานที่ท่องเที่ยวเช่น วัดวาอาราม สถานที่ ที่ตัวละครได้พาแฟนๆที่ติดตามเข้าไปร่วมผจญภัยในแต่ละฉาก ซึ่งบรอดคาซท์ฯเองก็ตั้งใจในการใส่รายละเอียดเรื่องราวที่มีข้อมูลทางประวัติศาสตร์ปรากฎเข้าไปในเนื้อหา เพื่อให้ผู้ชมได้เห็นถึงความสมจริงและสนุกสนาน โดยพรหมลิขิตถือเป็นละครอีกหนึ่งเรื่องที่ปลุกกระแสการแต่งกายชุดไทยไปเที่ยวชมวัดในจังหวัดพระนครศรีอยุธยาได้อีกครั้งหลังจากละครเรื่องบุพเพสันนิวาสที่ทำให้คนไทยและต่างประเทศหลั่งไหลไปตามรอยละครกันอย่างมากมาย
ประการที่สาม พรหมลิขิต แรงผลักดันสำคัญที่ทำให้คนไทยสนใจละครอิงประวัติศาสตร์มากขึ้น เพราะเราปฏิเสธไม่ได้ว่าหลังจากละครเรื่องบุพเพสันนิวาสประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม ละครไทยหรืออุตสาหกรรมบันเทิงไทยหันมาผลิตละครอิงประวัติศาสตร์หรือละครพีเรียดกันมากขึ้น โดยนำเสนอวิถีชีวิตของคนไทยสมัยก่อน สอดแทรกความเรียบง่ายและใจดี โอบอ้อมอารี และชอบช่วยเหลือคนอื่น ซึ่งเป็นอุปนิสัยของไทยให้สังคมและผู้ชมทั่วโลกได้เห็นเด่นชัดขึ้น
โดยทั้งหมดทั้งมวลที่สะท้อนออกมาผ่านละครเรื่อง “พรหมลิขิต” นอกเหนือจากความสนุกและอรรถรสจากละครที่ผู้ชมจะได้รับแล้ว ก็บอกเลยว่าละครสะท้อนตัวตนความเป็นคนไทยที่มีจิตใจโอบอารีและปลุกกระแสค่านิยมในการอนุรักษ์ศิลปะวัฒนธรรมไทยและความเป็นไทยได้เป็นอย่างดีแล้ว ยังเป็นการปลุกชีพ Soft Power ของรัฐบาลให้กลายเป็นความจริงที่จับต้องได้มากขึ้นเรื่อยๆอีกด้วย
คอลัมน์ “1 Day With ซุปตาร์”
โดย yimyim