เป็นกระแสฮือฮาส่งท้ายปีกันเลย หลังจาก บริษัท จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ JAS ประกาศคว้าลิขสิทธิ์ฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษ และถ้วยเอฟเอ คัพ เป็นระยะเวลา 6 ปี (เบื้องต้น 3 ปี) มูลค่ากว่า 19,500 ล้านบาท หรือตีกลมๆ เฉลี่ยฤดูกาลละราว 3,000 ล้านบาท

ถามว่าแพงมั้ยก็ถือว่าไม่แพงมาก แต่จะบอกว่าถูกก็ไม่ได้เหมือนกัน เพราะเจ้าของลิขสิทธิ์เดิมเชื่อกันว่าใช้เงินซื้อไปเกือบหมื่นล้านบาทต่อ 3 ฤดูกาลหรือเฉลี่ย 3,300 ล้านบาท จึงไม่ได้ถูกกว่าเดิมไปเท่าไร

จึงน่าคิดอยู่เหมือนกันว่าทำไมหนนี้ ทรู จึงยอมถอยทัพ แต่ขณะที่ JAS กลับมองว่าเป็นโอกาส

ก่อนหน้านี้ JAS ตัดขายธุรกิจบรอดแบนด์ ภายใต้บริษัท ทริปเปิลที บรอดแบนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ 3BB มูลค่ากว่า 19,500 ล้านบาท และกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานบรอดแบนด์อินเทอร์เน็ตจัสมิน (JASIF) มีมูลค่ารวมกันกว่า 32,400 ล้านบาท

หลังจากจ่ายปันผล เคลียร์ค่าธรรมเนียมและหนี้สินก็ยังเหลือเงินสดอีกเพียบเป็นหมื่นล้าน จนเคยเกิดคำถามในช่วงแรกๆ ว่า JAS จะนำเงินก้อนนี้ไปทำอะไรต่อ ซึ่งในที่สุดคำตอบก็ได้เฉลยออกมาไม่นานว่า พรีเมียร์ลีก จะกลายเป็นเรือธงของ JAS ในลำดับถัดไป

JAS มีบริษัทในเครือประกอบธุรกิจบริการอินเทอร์เน็ตทีวี คือ บริษัท แจส ทีวี จำกัด ให้บริการแพลตฟอร์มอินเทอร์เน็ตทีวี แก่ลูกค้ากว่า 600,000 ราย ภายใต้ชื่อ 3BB GIGATV โดยมี บริษัท จัสมิน ซับมารีน เทเลคอมมิวนิเคชั่นส์ จำกัด ดำเนินการจัดหาและรวบรวมคอนเทนต์

บริษัทตั้งเป้าจะมีสมาชิกถึง 3 ล้านบัญชีในปีแรก พร้อมยืนยันว่าค่าดูบอลไม่แพงแค่ราว 400 บาทต่อเดือนหรือต่ำกว่า อีกทั้งพร้อมเปิดรับความร่วมพันธมิตรไม่ว่าบริษัทใดๆ ก็ตาม

ถามว่า 3 ล้านบัญชีเป็นไปได้หรือไม่? ตอบได้ยากมาก เพราะทรูเองก็ไม่ได้เปิดเผยตัวเลขว่ามีสมาชิกเท่าไรที่สมัครใจจ่ายเงินซื้อแพคเกจพรีเมียร์ลีก แต่คาดกันว่าไม่น่าถึงล้านแน่ๆ

ดังนั้น JAS จะทำอย่างไรเพื่อให้คอบอลเทใจหันมาเป็นสมาชิก? และจะทำอย่างไรให้แฟนๆ จำนวนมากออกจากมุมมืดที่เป็นสมาชิกสตรีมมิงบอลเถื่อนหรือเว็บพนันออนไลน์? หรือบริษัทจะมีวิธีใดที่สามารถป้องกันการลักลอบดูดสัญญาณไปแพร่ภาพ?

ล้วนยากและท้าทายแบบสุดขั้ว.

เฮียเอง