@ภาพใหญ่ของการเมืองไทยคือการ”ขับเคลื่อน” ของ”รัฐบาล” ที่มีพรรคเพื่อไทยเป็น”แกนนำ” และมี”แพทองธาร ชินวัตร” เป็น”นายกรัฐมนตรี” ภายใต้การ”กำกับดูแล” และ”ฟูมฟัก” ให้เติบโตทางการเมือง และสร้าง”ผลงาน” ให้”เข้าตาประชาชน” โดย”ทีมงาน” ของ” ทักษิณ ชินวัตร” อดีต”นายกรัฐมนตรี” ผู้เป็น”บิดา” ซึ่งจากการ”จับกระแส”ทาง”การเมือง” ตั้งแต่”นายกหญิง” แพทองธาร ชินวัตร ขึ้นทำหน้าที่”ผู้นำรัฐนาวาของประเทศไทย” มีทั้ง”กองเชียร์” ที่เป็น”นักการเมือง” ฝั่งของ”เพื่อไทย” ดาหน้าออกมาตอบโต้บรรดา”กองแช่ง”โดยเฉพาะ”คอลัมนิสต์”ของ”สื่อ”ต่างๆ ที่ออกมา” ปรามาส” โดยตั้งประเด็นการเป็น”นายกรัฐมนตรี” ที่มี”อายุน้อย” ไม่มี”พรรษาทางการเมือง “ และไม่มี”ประสบการณ์”ในการ”บริหารประเทศ มีการ”พยากรณ์อาการ” รัฐบาล “แพทองธาร ชินวัตร” อาจจะเป็นรัฐบาลที่”อายุสั้นกว่า” รัฐบาลของ” เศรษฐา ทวีสิน” ด้วยซ้ำ …… โดยเฉพาะตั้งแต่ ก่อน และ หลัง เข้า”รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี” ก็มี”นักร้อง” เป็นจำนวนมาก ที่ตั้ง”ประเด็น” ในการ”ร้องเรียน” เรื่องการทำผิด”กฎหมายรัฐธรรมนูญ” และ อื่นๆ ที่จะเป็นปัญหาที่”มะรุมมะตุ้ม””ให้รัฐบาลที่นำโดย”แพทองธาร ชินวัตร” ต้อง”พะวักพะวง” และกลายเป็น”รัฐนาวา” ที่อาจจะ “ขับเคลื่อน” ด้วยความ”เชื่องช้า” แบบที่เรียกว่า” ยักตื้นติดกึก ยักลึกติดกัก” อย่างไรอย่างนั้น……แต่ หลังการ”กดสวิสซ์ แจกเงินให้ประชาชน” กลุ่มผู้พิการ” และผู้ถือ”บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ” คนละ 10,000 บาท และการทำ”โพล” คะแนนนิยมในกลุ่ม หัวหน้าพรรคการเมืองด้วยกัน ปรากฎว่าชื่อของ”แพทองธาร ชินวัตร” หัวหน้าพรรคเพื่อไทย และ”นายกรัฐมนตรี” คน”ปัจจุบัน” ถึงกับ”นำโด่ง” ขึ้นแท่นเป็น นักการเมืองที่ประชาชนให้ความนิยมเป็น” อันดับหนึ่ง” ซึ่ง เชื่อว่า”คะแนนนิยม” นี้มาจาก”การ”แจกเงิน” ให้กับ”ประชาชน “ นั่นเอง…..
@ประเด็นนี้น่าจะ”ตอบโจทย์” ได้เป็นอย่างดีว่า” ในวันที่”เศรษฐกิจ”ของประเทศไทย” อยู่ในภาวะที่”ย่ำแย่” การ”แจกเงิน”มีความหมายสำหรับประชาชน และ”รัฐบาล” ที่ใช้ นโยบายในการ”แจกเงิน” ก็ยังเป็น”รัฐบาล” ที่ประชาชนซึ่งเป็น”ชนชั้นรากหญ้า” ให้ความ”ชื่นชม” เพราะมารถ”ตอบสนอง” ความต้องการของ”ประชาชน”ได้ดีที่สุดดั่งคำพูดที่ว่า” เงินคือพระเจ้า” นั้นเอง…..จึงอย่า”แปลกใจ” ที่”รัฐบาล” ที่มี”เพื่อไทย” เป็น”แกนนำ” จึงต้อง”ผลักดัน” ให้มีการ”แจกเงิน” ใน”เฟสสอง” ไม่ว่าจะเป็น”เงินสด” เหมือน”เฟสแรก” และอาจจะลดลงเพียงรายละ 5,000 บาท ก็ตาม เพราะเงิน 5,000 บาท ในยุคที่ทุกคน”กระเป๋ายอบแยบ” และการเงินในครอบครัว” ชักหน้าไม่ถึงหลัง” เงินจำนวน 5,000 บาท ย่อมมีความหมาย โดยเฉพาะ”ครัวเรือน” ที่อยู่กัน”หลายคน” ได้รับ”เงินแจก” คนละ 5,000 บาท “มัดรวมกัน” ก็ได้”เงินหมื่น” นะ…… จับ”อาการ”ของคนที่ได้”รับเงิน” 10,000 บาท ในเฟสแรก พบว่าจำนวนหนึ่งถึงกับ”ร่ำไห้” เพราะใน”ชีวิต” ยังไม่เคยรับรู้ว่า”เงินหมื่น” มากแค่ไหน เพราะ”ไม่เคยมี” หลายคนเอาเงินไป”ปลดหนี้” หลายคนเอาเงินไป”ถ่ายทอง” และไป”ถ่ายของ” ใน”โรงจำนำ” ดังนั้นการที่”ชนชั้นรากหญ้า” ได้”เงินแจก” คนละ 10,000 บาท คนที่เป็น”ผู้แจก” จึงกลายเป็น”เทวดา” ในความรู้สึกของประชาชน ส่วนเรื่องของ”เงินกู้” เรื่องของ”หนี้สิน” เป็นเรื่องที่”ประชาชน” ไม่ได้”รับรู้” และ”ไม่รู้สึกรู้สา” รวมทั้งเป็นเรื่องที่”อธิบาย” ยากมาก สำหรับประชาชนที่มี”องค์ความรู้” ไม่เท่ากัน…..ดังนั้น จึง เชื่อได้ว่า นอกจากการ”ผลักดัน” ให้มีการแจกเงิน”เฟสสอง” ให้”เร็วที่สุดแล้ว “การเมือง”ของ”เพื่อไทย” จะต้องเป็น”นโยบาย” แบบการเมือง”บ้านใหญ่” เพื่อการ”ชิงความได้เปรียบ” กับ”พรรคการเมือง” อื่นๆ และกับ”พรรคประชาชน” และ”การเมืองบ้านใหญ่” คือการเมืองที่ต้อง”ใช้เงิน” เป็น”ปัจจัย” ดังนั้น” เราๆ ท่านๆ” ก็ต้อง”ติดตาม” การ”บริหาร”ของ”รัฐบาล”ว่าจะ”หาเงิน”เพื่อใช้ในการ”ทำการเมืองบ้านใหญ่” มาจากไหน เป็นเรื่องที่ต้อง”เกาะติด” การ”บริหารประเทศ” ของ”รัฐบาล”……
@ยิ่งมีการ”พยากรณ์อาการ” ของ”รัฐบาล” ว่าอายุอาจจะสั้นกว่า”รัฐบาล” ของ”เศรษฐา ทวีสิน” ก็ต้อง”จับตา”พรรคการเมืองทุกพรรค เพราะหาก”เพื่อไทย” เกิด”สะดุดขาตนเอง” และ”หกคะเมนตีลังกา” ทุกพรรคการเมือง ต้อง”รับชะตากรรม”ด้วยกัน นั้นคือการ”ยุบสภา” เพื่อ”ล้างไพ่”และ”เลือกตั้ง”ใหม่ ซึ่งแน่นอนต้องสู้กับ”นโยบายบ้านใหญ่” ของ”เพื่อไทย” ที่ต้องใช้”ปัจจัย” ในการ”เกื้อหนุน” เพื่อการ”รักษาพื้นที่” การรักษาตัวเลขของ “สส.” ซึ่งทุกพรรคต่าง”หวัง” ที่จะได้ “สส.” เพิ่มขึ้น ดังนั้นทุกพรรคจึงต้องมี”คลังกระสุนดินดำ” เพื่อการ”ยิงปูพรม” ในการ”เลือกตั้ง” ที่จะมาถึง ที่อาจจะ”เร็วสุด”คือ 6 เดือน นับแต่วันนี้ หรือ “หนึ่งปีครึ่ง” เป็นอย่างช้า…..
@นับเป็นโศกนาฏกรรม” ครั้งใหญ่ที่สุดในปี 2567 คือกรณี รถบัสนำนักเรียนเดินทางจาก จ.อุทัยธานี มายัง กรุงเทพฯ เกิดอุบัติเหตุ”ยางแตก” และ ชน”แท่งแบริเออร์” ทำให้เกิด”ประกายไฟ” และ”ลุกลาม”ไปยัง “ถังแก๊ส” ที่เป็น”เชื้อเพลิง”ของรถ และ”ลุกลาม” อย่างรวดเร็ว สาเหตุที่”ประตูปิดล็อก” ทำให้” นักเรียน” และ “ครู” ต้อง “หนีตาย” ไปยังประตู”ฉุกเฉิน” จึงไม่ทันไฟที่”ลุกลาม”อย่างรวดเร็ว ทำให้ นักเรียนเสียชีวิตถึง 25 ราย “เรื่อง”การช่วยเหลือ” เรื่องการ”เยียวยา” ผู้ได้รับผลกระทบ ไม่น่าเป็นห่วง เพราะ มี”หน่วยงาน” ในการ”รองรับ” เข้าไปดูแล แต่เรื่องที่เป็นเหตุให้เกิด”โศกนาฏกรรม” ครั้งนี้มาจากสาเหตุอะไร เช่น”แก๊สรั่ว” ก่อนหน้านั้นแล้ว แต่ไม่มีการ”ตรวจสอบ” จนเป็นเหตุให้”แก๊ส”เป็น”เชื้อเพลิง” ที่ทำให้”ลุกลาม” อย่าง”รวดเร็ว” ส่วน”ประตูอัตโนมัติ” เมื่อ”เครื่องยนต์ดับ” เปิดไม่ได้ ก็เป็นอีกประเด็น ว่าจะมีการแก้ไข จะ”ป้องกัน” อย่างไร โดยเฉพาะกับ”รถยนต์” ที่ใช้”แก๊ส” เป็น”เชื้อเพลง” เชื่อเถอะ เราจะได้เห็นเรื่อง”วัวหาย แล้ว ล้อมคอก” อีกครั้ง…..
@ก็เป็น สองเรื่องใหญ่ๆ หนักๆ ใน”รัฐบาล” แพทองธาร ชินวัตร” เรื่องแรกคือเรื่อง”อุทกภัย” หรือ”น้ำท่วม” และ”โคลนถล่ม”ใน” ภาคเหนือ” และ “ตะวันออกเฉียงเหนือ” ที่วันนี้ การ”ช่วยเหลือ” ผู้”ประสบภัย” ยังดำเนินการอยู่ ส่วนจะ”เยียวยา” ทั่วถึงหรือไม่ และจะมีการ”ทุจริต” ใน”งบประมาณ” หรือไม่ ต้องมีการ”ตรวจสอบ” เพราะ”นักการเมือง” ไม่เคย”หลาบจำ” กับเรื่องการ”ทุจริตคอร์รัปชั่น” โดยเฉพาะเรื่องของ”งบประมาณ” ในการ”ซื้อถุงยังชีพ” ทั้งที่มี”นักการเมืองท้องถิ่น” จำนวนมาก ที่วันนี้ไป”ตั้งวงการเมือง” ใน”เรือนจำ” เป็นจำนวนมาก แต่การ”ทุจริต” งบประมาณ” ก็ยังเกิดขึ้น นับไม่ถ้วน….. และที่ต้อง”เตือนกัน” คืออีก 1 เดือน ก็จะถึงฤดู”มรสุม” ของ”ภาคใต้” ซึ่งคงจะต้อง”หนักหนา” ไม่ต่างกับ”อุทกภัย” ใน”ภาคเหนือ” และ”ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ” หลายจังหวัด เท่าที่เห็น หลายพื้นที่ หลายจังหวัด หลายเทศบาล ยังไม่ได้มีการ”เตรียมรับมือ” ด้วยการ”กำจัดขยะ” ใน”คูน้ำ” ลำคลองหลายแห่งมีสภาพที่”ตื้นเขิน” ก็ยังไม่มีการ”ขุดลอก” เพื่อให้น้ำไหลได้สะดวก ลงในแม่น้ำ ก่อนที่จะไหลลงทะเล ที่เห็นมา “คูกลางถนน” ของถนนสายลพบุรีราเมศวร์” อำเภอหาดใหญ่- อำเภอเมือง ยังมีทั้ง หญ้า ทั้ง ต้นไม้ เต็มไปหมด”แขวงการทาง” ยังไม่”ตื่นตัว” ในการ”รับมือ” กับหน้า”มรสุม” ที่กำลังจะมา…..
@วันนี้ “เมืองท่องเที่ยว” อย่าง”เกาะภูเก็ต” ที่ ฝนตกธรรมดา ก็มีเหตุ”น้ำท่วม” และ”ดินถล่ม” เช่นเดียวกับ”เมืองท่องเที่ยว” ที่เป็น”เกาะแก่ง” ก็ยังคงทำงานแก้ปัญหาแบบ”เช้าชามเย็นชาม” ไม่มีความ”กระตือรือล้น” ส่วนสองจังหวัดที่มีข่าวว่า มีการ”ประชุม” หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อ”รับมือ” กับ”น้ำท่วมดินถล่ม” คือ”จังหวัดพัทลุง” และ”จังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่ง “จังหวัดพัทลุง” นั้น มี”น้ำตก” หลายแห่ง ในหลายอำเภอ ที่เป็น”ต้นเหตุ” ของ”น้ำถล่ม” หากรับน้ำไม่ได้ เช่นเดียวกับ”จังหวัดนครศรีธรรมราช” ที่น้ำจาก” เขาหลวง” คือสาเหตุของ”อุทกภัย” ส่วนจังหวัดตรัง ก็เป็นอีก “หนึ่งจังหวัด” ที่ “เสียหาย” จากการเกิดเหตุ”น้ำท่วม” ของทุกปี ก็หวังว่า” ทรงกรด สว่างวงศ์ “ ผู้ว่าราชการจังหวัดตรัง และ”บุ่นเล้ง โล่สถาพรพิพิธ” นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดตรัง มีการประชุมหน่วยงาน เพื่อการ”รับมือ” กับ”น้ำท่วม” ในครั้งนี้ได้ดีกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา…..
@อ่านข่าว พบว่า “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีกุล รองนายกรัฐมนตรี และ”เสนาบดี” กระทรวงมหาดไทย มีการ”สั่งการ” อย่าง”เฉียบขาด” อย่าให้เกิดอาการ”เกียร์ว่าง” ของ”ผู้ว่าราชการจังหวัด” เพราะทุกเรื่องที่เป็น”ความเดือดร้อน”ของ”ประชาชน” ทั้งเรื่อง”น้ำท่วม” เรื่อง”ภัยแล้ง” และอื่นๆ ที่เป็น”ความทุกข์” และความ”เดือดร้อน” ของ”ประชาชน เป็นหน้าที่ของ”ผู้ว่าราชการจังหวัด” ทั้งสิ้น ประเด็นที่น่า”เป็นห่วง” คือ จังหวัดที่ไม่มี”ผู้ว่าราชการจังหวัด” เพราะการ”เกษียณอายุ” และยังไม่มีการแต่งตั้ง ผู้ว่าราชการคนใหม่ แม้ว่าจะมี”รองผู้ว่าราชการจังหวัด” รักษาการก็จริง แต่ก็ไม่เหมือนกับ”ผู้ว่าราชการจังหวัด” ที่เป็น “ตัวจริง” ซึ่ง”อนุทิน ชาญวีรกุล” หรือ”เสี่ยหนู” รองนายกรัฐมนตรี และ”เสนาบดีกระทรวงมหาดไทย” ต้องเร่งให้”ปลัดกระทรวงมหาดไทย” คนใหม่ ทำบัญชี”โยกย้าย” ทั้ง”ผู้ว่าราชการจังหวัด “ และ”นายอำเภอ” ให้”เสร็จสิ้น” โดยเร็ว เพื่อประโยชน์ในการ”บริหารราชการแผ่นดิน” และความ”สงบสุข” ของ”ประชาชน” สำหรับใน”จังหวัดชายแดนภาคใต้” มีเพียง “จังหวัดสงขลา” ที่”สมนึก พรหมเขียว” ผู้ว่าราชการจังหวัดที่”เกษียณอายุราชการ” ส่วนที่เหลืออีก 4 จังหวัด ยังอยู่กับครบถ้วน แต่สิ่งที่ “ชาวสงขลา” ต้องการทราบคือ ใครจะมาทำหน้าที่” พ่อเมือง” เพราะมีข่าวว่า”พ่อเมือง” ของ”จังหวัดสงขลา”คนใหม่ จะเป็น”ผู้ว่าราชการจังหวัด” ที่มี อายุราชการเพียง 1 ปี ( อีกแล้ว ) ซึ่ง”ชาวสงขลา” ต่าง”ส่งเสียง”ไปยัง” กรมการปกครอง” ให้แต่งตั้ง”ผู้ว่าราชการจังหวัด” ที่ไม่ใช่มา”เกษียณอายุราชการ” เพราะ “สงขลา”เป็นเมืองใหญ่ เป็น”เมืองหลวง” ของ”ภาคใต้” ดังนั้น “ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา จึงไม่ควรเป็น”ผู้ว่าฯหนึ่งปี” ที่มาเพื่อรอการ”พักผ่อน”……
@เรื่องของ”ไฟใต้” ที่”ล่าสุดคือการ”วางระเบิด”คาร์บอมบ์” ที่ หน้าบ้านพัก”นายอำเภอตากใบ “ จ.นราธิวาส แม้ว่า”นายอำเภอ” จะไม่ได้รับ”บาดเจ็บ” แต่”ประชาชน” ได้รับความ”สูญเสีย” มีผู้ได้รับ”บาดเจ็บ” เพราะอยู่ใกล้กับ”คาร์บอมบ์” และ บ้านเรือนหลายหลัง ที่เป็น”เหยื่อพระเพลิง” ที่เกิดจาก”คาร์บอมบ์” ลูกดังกล่าว….. ซึ่งมือก่อ”วินาศกรรม” ใช้”วิธี การ” มาเร็ว เคลมเร็ว” ด้วยการ”ปล้นรถเก๋ง” จาก”ชาวบ้าน ในพื้นที่ โดยมีการ”ประกอบระเบิด” เอาไว้ก่อน เมื่อ “ปล้นรถ” มาได้ ก็นำ”ระเบิดแสวงเครื่อง” ที่ประกอบไว้แล้ว ใส่ในรถที่ต้องการทำ”คาร์บอมบ์” ขับมาจอดในพื้นที่”เป้าหมาย” ก่อนที่จะ”จุดระเบิด” ส่วน”พลขับคาร์บอมบ์” ก็ใช้วิธีการเดิมๆ นั้นคือ”ซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์” ที่มารอรับ และข้ามไปยัง”ประเทศมาเลเซีย” ผ่านทาง”แม่น้ำสุไหงโก-ลก กลับไปนอนแบบ”สบายบรื่อสะดือบุ่ม”เพราะ มาเลเซีย ให้ที่พักพิง….. จากการตรวจสอบ”วัตถุพยาน” พบว่า”ถังแก๊ส” น้ำหนัก 14 กิโลกรัม เป็นของ”ประเทศมาเลเซีย” รวมทั้ง”วงจร” ที่ใช้ในการ”จุดระเบิด” ก็มาจาก”ประเทศมาเลเซีย” และ” กองกำลัง” ที่ทำหน้าที่”ก่อวานาศกรรม” ก็พบว่า”ข้ามมาจาก”เปิงกาลันกูโบร์” รัฐกลันตัน ประเทศมาเลเซีย และที่ปฏิเสธไม่ได้คือ”ฐานที่มั่น”ของ”ขบวนการแบ่งแยกดินแดนบีอาร์เอ็น” กระจายกันอยู่โดย”ฐานใหญ่” อยู่ที่”กลันตัน” ส่วน”หมู่บ้าน” ที่เป็นที่”หลบซ่อน” และเป็นที่”ฝึกการก่อวินาศกรรม” ฝึก”อาวุธ” ก็อยู่”ตรงกันข้าม” กับพื้นที่ของ”สุไหงโก-ลก และ “ฐานที่มั่น” ที่ รองลงมา และเป็น”สำนักตักศิลา” ในการ” บ่มเพาะ” ทาง”จิตวิญณาญ” อยู่ที่”รัฐตรังตานู” และ ยังมี”ฐานที่มั่น” ด้านชายแดนจังหวัดสงขลา ใน”รัฐเคดาห์” ซึ่งเป็นรัฐที่ติดกับ พื้นที่ อ.สะเดา อ.สะบ้าย้อย จ.สงขลา ดังนั้นถ้า”รัฐบาลไทย” ต้องการที่”ดับไฟใต้” ให้”สิ้นซาก” หนทางที่ดีที่สุด คือการ”เจรจา” กับ”นายกรัฐมนตรี”ของ”ประเทศมาเลเซีย” เพราะจาก”หลักฐาน” ต่างๆ ที่”ประจักษ์” ก็ตอบสังคมได้ชัดว่ามาจาก” ประเทศมาเลเซีย” และหลัง”ก่อเหตุ” ก็”หลบหนี” กลับไป”กลบดาน” ในที่มั่น ที่”ประเทศมาเลเซีย…..
@พูดถึง”บริบท”ของ”ประเทศมาเลเซีย” ที่เป็น”เพื่อนบ้าน” ของ”ประเทศไทย”ที่เห็นได้ชัดว่ามีการกระทำที่”ย้อนแย้ง” และไม่ได้ให้ความ”ร่วมมือ” กับ”ประเทศไทย” ในการแก้ปัญหาที่เรียกว่า”อาชญากรรมข้ามชาติ” ยกตัวอย่าง 2 เรื่องให้เห็นกัน จะจะ 1. เรื่องของ”แรงงานเถื่อน” จาก”ประเทศเมียนมาร์” และอื่นๆ ที่”หลบหนีเข้าเมือง” และมา”หลบซ่อน” ในพื้นที่ จังหวัดชายแดน” อย่าง”นราธิวาส” และ”สงขลา” เพื่อข้ามไปยัง”มาเลเซีย” ด้าน อ.สะเดา จ.สงขลา และด้าน อ.สุไหงโก-ลก อ.ตากใบ และ อ.แว้ง จ.นราธิวาส เพื่อ”ข้ามไปขายแรง” ที่”ประเทศมาเลเซีย ปีละ”หลายหมื่นคน” ถ้า “เจ้าหน้าที่”ของ”มาเลเซีย” จับกุม”แรงงานเถื่อน” หรือ”ผู้หลบหนีเข้าเมือง” เหล่านี้ ในข้อหา”ลักลอบเข้าเมือง” ที่เป็นเรื่อง”ผิดกฎหมาย” เชื่อเถอะ” คนเถื่อน” เหล่านี้ก็จะไม่กล้าที่จะ”หลบหนี”ไปยัง”ประเทศมาเลเซีย”เพราะกลัวถูกจับกุม และปัญหา”คนเถื่อน” ที่เดินทางมายัง”จังหวัดสงขลา” และ”นราธิวาส” ก็จะ”ยุติ” ด้วยการร่วมมือจากมาเลเซีย แต่เพราะ มาเลเซีย ต้องการใช้ แรงงานเถื่อน ในภาคการเกษตร ประมง จึงเปิด”ไฟเขียว” ให้ “แรงงานเถื่อน” ลักลอบเข้าไปได้ 2. เรื่องของ”ยาเสพติด” ที่”ทะลักทลาย” จาก” ประเทศเมียนมาร์” และมี”ปลายทาง” ใน” จ.สงขลา ,นราธิวาส” และ”สตูล” เพื่อใช้เป็น”พื้นที่พักยา” ก่อนที่จะ”ลำเลียง”ไปยัง”ประเทศมาเลเซีย” ถ้า”มาเลเซีย” ทำการ”จับกุม” แบบที่”ปปส.ของไทย จับกุม ก็จะทำให้”ขบวนการค้ายาเสพติด” เลิกที่จะ”ลำเลียง” ยาเสพติด ข้ามไปยัง”มาเลเซีย” เพื่อส่งไปยัง”ประเทศยุโรป,สหรัฐอเมริกา “ และ ประเทศอื่นๆ แต่ที่ผ่านมา”เจ้าหน้าที่”ของ”มาเลเซีย” ไม่เคยมีการ”จับกุม” ยาเสพติด” ในพื้นที่ของ”มาเลเซีย” แม้แต่ครั้งเดียว เป็นเหตุให้”ขบวนการค้ายานรก” ใช้”เส้นทาง”ของจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อ”ส่งออก” ยาเสพติด ไปยัง”ต่างประเทศ” ด้วยการผ่าน”มาเลเซีย” เพราะ”ปลอดภัย” ที่สุด ด้วยไม่มีการ”จับกุม” แต่กลายเป็นว่า พื้นที่ของ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้”เป็นที่พักยา” และเป็นแหล่งในการ”ค้ายา” เป็นเหตุให้มี”คนติดยาเสพติด” เป็น จำนวนมาก ที่คือความไม่”จริงใจ” ของ”เพื่อนบ้าน” อย่างประเทศมาเลเซีย……
@และในขณะที่”สามจังหวัด” และ”สี่อำเภอ” ของ”จังหวัดสงขลา” ต่าง”จมปลัก” อยู่กับ”สถานการณ์” ของ”ความไม่สงบ” มาเลเซียก็”เดินหน้า” ในการ”พัฒนารัฐตอนเหนือ” ที่อยู่ติดกับ”ประเทศไทย” ให้มีความ”รุดหน้า” เช่นการสร้าง”คลังสินค้า” หรือ”แวร์เฮ้าส์” ในพื้นที่ 4,000 ตารางเมตร พร้อมทั้งเตรียมความพร้อมในการ”ส่งออก” ด้วยระบบราง และมี”ท่าเรือ” ไว้”รองรับ” เพื่อเดินทางไปยัง”เมืองเซี่ยงไฮ้สาธารณรัฐประชาชนจีน” และมีการสร้างโรงานผลิต”ปีกเครื่องบินโบอิ้ง” ส่งให้กับ บริษัทโบอิ้ง ของ”สหรัฐอเมริกา” และยังเป็นที่ตั้งของ”มหาวิทยาลัย” ที่เป็น”อันดับ 5 ของประเทศ ทั้งหมด ตั้งอยู่”ประชิดติดชายแดนไทย” ที่”รัฐเคดาห์ ประเทศมาเลเซีย” ที่” ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้” ศอ.บต.” ทำสัญญาว่าเป็นเมือง”คู่แฝด” ของ จังหวัดสงขลา ซึ่งไม่มี”อุตสาหกรรม” ใหม่ๆ และ ใหญ่ๆ เกิดขึ้น อย่างที่เกิดขึ้นใน”รัฐเคดาห์” ประเทศมาเลเซียแต่อย่างใด และแม้แต่”เขตเศรษฐกิจพิเศษ” ที่ อ.สะเดา จ.สงขลา ซึ่งผ่านมาแล้ว กว่า 15 ปี ยังมี”โรงงานอุตสาหกรรม” ที่สนใจจะไป”ลงทุน” เพียงรายเดียว อนาถ นะ……
@เรื่องของ”ไฟใต้” ยังไม่จบเพียงแค่นี้ เพราะก่อนหน้าที่มีการ”วางระเบิดคาร์บอมบ์” ที่หน้าบ้านพักนายอำเภอตากใบ จ.นราธิวาส “กลุ่มก่อวินาศกรรม” ของ”บีอาร์เอ็น” ก็ได้ทำการ”วางระเบิดแสวงเครื่อง” โดยมี”เป้าหมาย” ที่รถบัสของ”ตำรวจตระเวนชายแดน” กองกำกับที่ 41 จังหวัดชุมพร ซึ่งมีหน้าที่”ถวายการอารักขา” หลังจบสิ้นภารกิจ ถวายการอารักขา” ที่ จ.นราธิวาส ขณะเดินทางกลับ”ที่ตั้ง” เมื่อถึง ต.ตะบิ้ง อ.สายบุรี” จ.ปัตตานี ก็ถูก”ระเบิดแสวงเครื่อง” ที่”คนร้าย” นำมา”ซุกซ่อน”ไว้ใน”กล่องที่ใส่มาตรวัดน้ำ ที่ติดตั้งอยู่ กลางสะพาน เมื่อ “รถบัส”ของ”ตชด. “ วิ่งเข้าสู่จุด”สังหาร” ก็มีการ”จุดระเบิดแสวงเครื่อง” โดย”โฟกัส” ไปยัง”พลขับ” เพื่อให้”สะเก็ดระเบิด” ทำร้าย”พลขับ” โดยหวังผลให้ “พลขับ” บาดเจ็บ หรือ เสียชีวิต ไม่สามารถ”ควบคุมรถ”ได้ และรถบัสก็จะตกลงไปใน”แม่น้ำสายบุรี” เป็นการหวัง”ฆ่าหมู่” ตำรวจตระเวนชายแดน” ที่นั่งมากับรถบัสคันดังกล่าว แต่ “โชคดี” ที่” พลขับ” แม้จะได้รับบาดเจ็บ แต่ก็สามารถ”ควบคุมรถ” ไว้ได้ โดยมี”ผู้บาดเจ็บ” เพียง 4 ราย ทั้งหมดเป็นการ”บ่งชี้” ถึงการ”พัฒนาการ” ในการ”ก่อการร้าย” ของ”ขบวนการแบ่งแยกดินแดนบีอาร์เอ็น” ที่”กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ต้องทำการ”ถอดบทเรียน” เพื่อการ”เอาชนะ” มือก่อ”วินาศกรรม” และ”กองกำลังติดอาวุธ”ของ”บีอาร์เอ็น…..ในขณะที่”นักการเมือง” ( บางคน ) ที่อยากเห็น”การแบ่งแยกดินแดน” ก็”เดินสาย” เพื่อการ”จัดกิจกรรม”ทางการเมือง ซึ่งล่าสุดมีการทำ”เสื้อยืด” ที่มีการ”สกรีน” คำว่า”รัฐปัตตานี” จำหน่ายในพื้นที่ และขณะเดียวกับ” เอ็นจีโอ” (บางคน ) ก็ทำการ”ถือป้าย” สนับสนุนการแบ่งแยกดินแดน และ”แชร์” ใน”โซเชียลมีเดีย” ก็ต้องถามฝ่าย”กฎหมาย” ของ”หน่วยงานความมั่นคง”ว่า “การกระทำของ”นักการเมือง” และ”เอ็นจีโอ” เข้าข่าย”ผิดกฎหมาย” ในเรื่อง”ความมั่นคง” หรือไม่ และถ้าเป็น จะดำเนินการอย่างไร หรือ เฉยๆ ทำเป็น”ไม่รู้ไม่ชี้” เพราะไม่ต้องการมี”ปัญหา”กับ”มวลชน” ที่เป็นผู้”สนับสนุน” ขบวนการแบ่งแยกดินแดน”บีอาร์เอ็น” ที่มีเป้าหมายในการ”แบ่งแยกดินแดน”.…..
@เห็นด้วยนะ ที่ หน่วยงานความมั่นคงมีความเห็นในการ ประกาศให้”ขบวนการแบ่งแยกดินแดนบีอาร์เอ็น” เป็น”องค์กรการก่อการร้าย” เพราะการ”ปฏิบัติการ” ทางทหารของ”บีอาร์เอ็น” และการ”ขับเคลื่อน”งาน”มวลชน”หรือ”งานการเมือง” ในพื้นที่ 3 จังหวัด และ 4 อำเภอของ จ.สงขลา ไม่ใช่การ”ก่อความไม่สงบ” แต่เป็นการ”ก่อการร้าย” การที่จะประกาศให้” บีอาร์เอ็น” เป็น”องค์กรการก่อการร้าย” ต้องกล้าในการ”ตัดสินใจ” อย่าง”กังวล” กับเสียง”คัดค้าน” ที่ไม่เห็นด้วย” จาก”นักวิชาการโลกสวย” และจาก” นักวิชาการ” ที่”สนับสนุน” ขบวนการการแบ่งแยกดินแดนบีอาร์เอ็น ว่าการ”ประกาศ” ว่า”บีอาร์เอ็น” เป็น”องค์กรก่อการร้าย” จะเป็นการ”ยกระดับ” เพราะ โดยข้อ”เท็จจริง” บีอาร์เอ็น มีการยกระดับไปเป็น”องค์กรก่อการร้าย” โดยที่ไม่มีการ”ประกาศ” ไปแล้ว เช่นมีการ”เคลื่อนไหว” ใน”สหประชาชาติ” และใน”องค์กร”ระดับโลก” อีกหลายองค์กร…..ข้อดีของการ”ประกาศ” ให้”บีอาร์เอ็น” เป็น” องค์กรก่อการร้าย” จะทำให้”ประเทศ” และ”องค์กร” ที่ให้การ”สนับสนุนบีอาร์เอ็น” มีความผิดในข้อหาให้การ”สนับสนุนองค์กรก่อการร้าย” ต้องสร้างความ”กระอักกระอ่วน” ให้กับ”ประเทศมาเลเซีย” ที่ให้ที่”พักพิง” กับ”ขบวนการแบ่งแยกดินแดนบีอาร์เอ็น” รวมทั้ง”ภาคประชาสังคม” และ”ภาคประชาชน” ในพื้นที่ของ “จังหวัดชายแดนภาคใต้” รวมทั้ง”เอ็นจีโอสากล” อย่าง”เจนีวาคอลล์” และ”องค์กรกาชาดระหว่างประเทศ “ อย่าง”ไอซีอาร์ซี” และ “องค์กร”ของ”ประเทศมหาอำนาจ” ที่มาทำ”กิจกรรม”ในพื้นที่ “จังหวัดชายแดนภาคใต้” ต้อง”ระมัดระวัง” ในการ”สนับสนุน” มวลชน ของ”บีอาร์เอ็น” รวมทั้ง”ขบวนการนักศึกษา”และ”นักสิทธิมนุษย์ชน” ที่”เคียงข้าง” กับ”มวลชน” ของ”บีอาร์เอ็น” ก็จะต้อง”หยุดชะงัก” หาก “บีอาร์เอ็น” ถูก”ประกาศ” ให้เป็น”องค์กรก่อการร้าย” ส่วนที่มีการ”หวาดวิตก” ว่าการประกาศให้”บีอาร์เอ็น” เป็น”องค์กรก่อการร้าย” จะทำให้เป็นการ”ผลัก”ให้”บีอาร์เอ็น”ไปเป็นพวกเดียวกับ”กลุ่มก่อการร้ายสากล” ใน”ประเทศตะวันออกกลาง” เป็นเรื่องที่” เหลวไหล” และเป็นไปไม่ได้ เพราะถ้าจะเป็น” กลุ่มแบ่งแยกดินแดน” ใน “จังหวัดอาเจะ ประเทศอินโดนีเซีย” และ” องค์กรก่อการร้ายในประเทศฟิลิปปินส์” ต้องมีการ”ร่วมมือ” กับ”องค์กรก่อการร้าย” ใน”ประเทศตะวันออกกลาง” ไปก่อนหน้านี้แล้ว…..
@วันนี้”บีอาร์เอ็น” มีอาการ”หวั่นไหว” กับการที่”ฝ่ายความมั่นคง” จะมีการ”ประกาศ” ให้”บีอาร์เอ็น” เป็น”องค์กรก่อการร้าย” เพราะ ณ วันนี้”บีอาร์เอ็น” ยังไม่พร้อมที่จะเป็น”องค์กรก่อการร้าย” บีอาร์เอ็น ยังต้องการเป็น”องค์กรลับ” เพื่อที่จะได้อาศัยอยู่ใน”มาเลเซีย” เพื่อใช้”มาเลเซีย” เป็น”ฐานที่มั่น”หรือเป็น”หลังพิง” เพื่อให้การ”ก่อการร้าย” ใน”จังหวัดชายแดนภาคใต้” มี”ประสิทธิภาพ” หาก”รัฐบาล” และ”หน่วยงานความมั่นคง” มีความ”เห็นฟ้อง” ประกาศให้”บีอาร์เอ็น” เป็น”องค์กรก่อการร้าย” การที่”บีอาร์เอ็น” จะใช้”มาเลเซีย”เป็น”ฐานที่มั่น” ต้องไม่”ราบรื่น” และต้อง”มุดลงใต้ดิน” ซึ่งสร้างความ”อ่อนแอ” ให้กับ”บีอาร์เอ็น” เป็นอย่างมาก ดังนั้น “ปีกทางการเมือง”ของ”บีอาร์เอ็น” จึงพยายามที่จะ”สร้างกระแส” ว่าคนในพื้นที่”จังหวัดชายแดนภาคใต้” ไม่เห็นด้วยกับการ”ประกาศ” ให้”บีอาร์เอ็น” เป็น”องค์กรก่อการร้าย” ก็ต้องถามว่า ประชาชน ที่ไม่เห็นด้วยมีกี่คน ที่สำคัญ 20 ปีที่ผ่านมา “กองทัพ” คงจะ”ตกผลึก” แล้วว่า” นโยบาย” และ”ยุทธวิธี” ที่ ใช้ในการ”ดับไฟใต้” ไม่สามารถ”เอาชนะ” ขบวนการแบ่งแยกดินแดน”บีอาร์เอ็น” ได้เลย ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง”การทหาร” หรือเรื่อง”การเมือง”……ปิดท้าย เดือน ตุลาคม นี้ จะมี”เหตุรุนแรง” ใน “จังหวัดชายแดนภาคใต้” และมีความ”เคลื่อนไหว” จาก” มวลชน” ที่เป็น”ปีกทางการเมืองของบีอาร์เอ็น” และกลุ่ม”ภาคประชาชน” และ”มูลนิธิ” และ”เอ็นจีโอ” ในการจัด”กิจกรรม” เพื่อ”กดดัน” ให้” จำเลย” ทั้ง 7 ราย ที่”ศาลจังหวัดนราธิวาส” ออก”หมายจับ” ใน”คดีการชุมชุมที่ สภ.ตากใบ เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม ปี 2547 หรือ” 20 ปี ที่แล้ว และเป็น”ภาระหน้าที่”ของ” แม่ทัพภาคที่ 4 และ ผอ.กอ.รมน.ภาค 4 คนใหม่ คือ” พล.ท.ไพศาล หนูสังข์” ในการ”วางแผน” เพื่อ”รับมือ” ทั้งกับความเคลื่อนไหวของ”มวลชน” และ”ระเบิด” ทั้งแบบ”แสวงเครื่อง”และ”คาร์บอมบ์” ที่ วันนี้”บีอาร์เอ็น” ใช้วิธีการ”มาเร็ว เคลมเร็ว” ก็ต้องให้ “โอกาส” และให้”กำลังใจ” กับ”แม่ทัพภาคที่ 4” คนใหม่ ในการ”นำทัพ” เพื่อ”รับมือ” กับ”บีอาร์เอ็น” ในเดือน”ตุลาคม” ส่วน”จำเลย” ทั้ง 7 คน ที่ ศาลนราธิวาส”ออกหมายจับ” และ “เจ้าหน้าที่”อีก 8 คน ที่ถูก”อัยการสั่งฟ้อง” ถ้า “ตำรวจ” หาตัวไม่พบ และ”จับกุม”มาส่ง”ศาลจังหวัดนราธิวาส”ไม่ได้” คดีเป็นอันพับ” เพราะ”หมดอายุความ” …..แล้วพบกันใหม่วันศุกร์หน้า สวัสดีครับ
———————————————————–
ไชยยงค์ มณีพิลึก
พลังเยาวชน. เนื่องในวันเยาวชนแห่งชาติ ประจำปี 2567 “พลังเยาวชนไทย ร้อยดวงใจจิตอาสาเฉลิมพระเกียรติ 72 พรรษา” โดยบ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดสุราษฎร์ธานี ร่วมกับสภาเด็กและเยาวชนจังหวัดสุราษฎร์ธานี และภาคีเครือข่ายจัดขึ้น ณ โรงเรียนเมืองสุราษฎร์ธานี โดย พล.อ.เกรียงไกร ศรีรักษ์ รองประธานวุฒิสภา ให้เกียรติเป็นประธานเปิดกิจกรรม
ส่งมอบหน้าที่ พล.ท.ปราโมทย์ พรหมอินทร์ แม่ทัพน้อยที่ 4 /รองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า/ผู้อำนวยการศูนย์สันติวิธี (ท่านเก่า) กับ พ.อ.เฉลิมชัย สุทธินวล ผู้อำนวยการศูนย์สันติวิธี (ท่านใหม่) โดยได้กระทำพิธีลงนามในเอกสารรับ-ส่งหน้าที่ พร้อมทั้งจัดประชุมรับมอบนโยบายการขับเคลื่อนการสร้างความตระหนักรู้แก่ประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ตามนโยบายของรัฐบาล ซึ่งมีคณะผู้บังคับบัญชา กำลังพลหน่วยขึ้นตรงศูนย์สันติวิธีเข้าร่วมในพิธีณ ห้องประชุมกองสันติวิธี ศูนย์สันติวิธี ค่ายสิรินธร ต.เขาตูม อ.ยะรัง จ.ปัตตานี
ปิดการแข่งขัน. อำพล พงศ์สุวรรณ ผวจ.ยะลา เป็นประธาน ปิดการแข่งขันวอลเลย์บอลเยาวชน PEA ชาย-หญิง อายุ ไม่เกิน 18 ปี ชิงชนะเลิศแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 20 (ปีที่ 40) ชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี รอบคัดเลือกภาคใต้ พร้อมกล่าวปิดการแข่งขัน มอบรางวัลทีมชนะเลิศ ประเภทชายและหญิง โดยมี สมพร ใช้บางยาง นายกสมาคมกีฬาวอลเลย์บอลแห่งประเทศไทย ร่วมในพิธี ณ สนามวอลเล่ย์บอล เทศบาลนครยะลา
อำลา-อาลัย. หลายภาคส่วนในจังหวัดสงขลา ร่วมนำดอกกุหลาบสีแดงมามอบให้ สมนึก พรหมเขียว ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา นายกเหล่ากาชาดจังหวัดสงขลา และรองผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา เพื่ออำลาเนื่องในโอกาสเกษียณอายุราชการ บรรยากาศเต็มไปด้วยความอบอุ่น
ทุนการศึกษา. สุพิศ พิทักษ์ธรรม. อธิบดีกรมฝนหลวงและการบินเกษตร เป็นประธานเปิดงานการระดมทุนเพื่อการศึกษา “เหลียวหลังแล แชร์น้ำใจให้น้อง” 101 ปี ณ โรงเรียนวัดหนองหอย อ.สิงหนคร จ.สงขลา
ร่วมพิธีอุปสมบท. ไชยยงค์ มณีรุ่งสกุล สมาชิกวุฒิสภา จ.สงขลา ร่วมพิธีอุปสมบท บุตรชายของ พงศ์พล ชูดแดง ณ วัดประตูชัย อ.สิงหนคร จ.สงขลา โดยมี พล.อ.มณี จันทร์ทิพย์ ที่ปรึกษา กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า เป็นประธานในพิธี
เดิน-วิ่ง การกุศล. มุขตาร์ มะทา นายก อบจ.ยะลา ร่วมเป็นเกียรติกิจกรรมเดิน วิ่ง การกุศล 100 ปี โรงเรียนบ้านพร่อน “100 th Anniversary Banparon School” เพื่อหารายได้ ปรับปรุงอาคารละหมาด เพื่อปฏิบัติศาสนกิจ โดยมี สุไลมาน บือแนปืแน สส.เขต 1 ยะลา พรรคประชาชาติ ร่วมด้วย ณ สนามโรงเรียนบ้านพร่อน อ.เมือง ยะลา
บูรณาการ. พงษ์ศักดิ์ ยิ่งชนม์เจริญ นายกเทศมนตรีนครยะลา พร้อมด้วย เสรี เรืองกาญจน์ นายกเทศมนตรีเมืองสะเตงนอก , ผู้บริหาร เทศบาลตำบลบุดี และ เจ้าหน้าที่ ของทั้งสามเทศบาลร่วมประชุมวางแผนป้องกันและแก้ปัญหาน้ำท่วม หลังจากในปีนี้มีหลายๆจังหวัดประสบปัญหาน้ำท่วมหนัก พื้นที่เขตเทศบาลนครยะลา เทศบาลเมืองสะเตงนอก และเทศบาลตำบลบุดี มีความเชื่อมต่อกัน ทั้ง 3 เทศบาล มาร่วมวางแผนแก้ปัญหา ช่วยเหลือประชาชน กรณีมีผู้ประสบภัยน้ำท่วมให้มีความสะดวก รวดเร็ว ทันสถานการณ์
ติดตามเร่งรัด. คณะกรรมการธรรมาภิบาล จ.ตรัง ลงติดตามเร่งรัดโครงการพัฒนาฟื้นที่เฉพาะเพื่อรองรับการท่องเที่ยวบริเวณเมืองเก่ากันตัง และปรับปรุงภูมิทัศน์ศาลหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ เกาะเนรมิต จ.ตรังโดย สำนักงาน โยธาธิการ และผังเมืองจังหวัดตรัง ซึ่งการก่อสร้างมีปัญหาอุปสัก ต้องแก้ไขสัญญาถึง 3 ครั้ง ใช้งบไป 56,532,079 บาท โดยมีโยธาธิการ และผังเมืองจังหวัดตรัง พร้อมด้วยบริษัทผู้รับเหมาไปชี้แจงและแจ้งความคืบหน้า
ร่วมต่อลมหายใจ. เนติวิทย์ ขาวดี และ นายแพทย์จำรัส สรพิพัฒน์ ร่วมเยี่ยมผู้ป่วยโรคนอนไม่หลับ ( lnsomnia ) หรือภาวะนอนไม่หลับ (Phawa nxn mi hlab ) ตรวจรักษาอาการ ให้กำลังใจผู้ป่วย ตามโครงการ ” ร่วมต่อลมหายใจให้แก่เพื่อนมนุษย์ ” รายที่ 235 พื้นที่หมู่ที่ 9 ต.ท่าข้าม อ.ปะเหลียนจ.ตรัง ขอให้หายไวไวนะครับขอบคุณ นพ. วิฑูรย์ เหลืองดิลก ที่กรุณาฝากอาหารเสริมมอบให้แก่ผู้ป่วย และ ด.ต.เจริญ รักษา ผู้จัดการน้ำดื่มบัวหลวง ที่มอบน้ำดื่มสะอาดให้กับผู้ป่วย
ประชุมใหญ่สามัญ. สหกรณ์การเกษตรสทิงพระ จำกัด จัดประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2567 โดยมีชนะ อมรวัฒน์ สหกรณ์จังหวัดสงขลา เป็นประธานในพิธีเปิด และผู้แทนสหกรณ์การเกษตรทุกสหกรณ์ในจังหวัดสงขลา เข้าร่วมพิธี โดยมี วัฒิ ศรีละบุตร ประธานสหกรณ์สทิงพระ ให้การต้อนรับ
นายณัฐภัท ชุมทองเชิดบำรุง เลขานายกอบจ.สงขลา ได้เป็นประธานเปิดศูนย์เสริมสร้างปันสุขณ อบต.กระดังงา โดยมี นพ.นครินทร์ ฉิมตระกูลประดับ ผอ.รพ.สทิงพระ และ ปรีชาพงศ์ วงศ์พระจันทร์ สจ.เขต อ.สทิงพระ ให้การต้อนรับ
เงินพระราชทาน. ที่อาคารอเนกประสงค์ หมู่ที่ 4 อบต.เกาะสุกร อ.ปะเหลียน จ.ตรัง นายทรงกลด สว่างวงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดตรัง เป็นประธานมอบเงินพระราชทาน มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ให้กับครอบครัวผู้เสียชีวิตจากเหตุวาตภัย กรณีเหตุเรือล่ม ในเบื้องต้นทราบว่าจุดเกิดเหตุเรือล่มเส้นทางเดินเรือโดยสารท่าเทียบเรือท่าข้าม – เกาะสุกร พื้นที่หมู่ที่ 2 ต.เกาะสุกร อ.ปะเหลียน จ.ตรัง
ตรวจที่เกิดเหตุ…พล.ต.ท.ปิยะวัฒน์ เฉลิมศรี ผบช.ภ.9 พร้อมคณะ ลงพื้นที่ เพื่อตรวจที่เกิดเหตุ คาร์บอมบ์ ที่หน้าบ้านพักนายอำเภอตากใบ จ.นราธิวาส พร้อมกำชับเจ้าหน้าที่ เก็บพยานวัตถุ พยานหลักฐาน และตรวจกล้องวงจรปิด เพื่อรวมรวมหลักฐานติดตามคนร้ายมาดำเนินคดี