โลดแล่นอยู่เบื้องหลังความสำเร็จของคนในวงการบันเทิงมาอย่างมากมายสำหรับครูสอนเต้นคนดัง แบงค์-ชินดนัย ภูวกุล ที่นอกจากจะประสบความสำเร็จจากการงานที่ทำจนกลายเป็นต้นแบบของใครหลาย ๆ คนแล้ว เขายังเป็นอีกหนึ่งคนที่มีความฝันและความพยายามพัฒนาตัวเองจนพิชิตฝันได้อีกด้วย
ล่าสุด “บันเทิงเดลินิวส์” มีโอกาสพูดคุยกับแบงค์ในเรื่องราวต่าง ๆ ทั้งการทำงานที่ผ่านมา การค้นพบความฝันและทำมันจนสำเร็จเป็นที่ยอมรับในปัจจุบัน รวมถึงการก่อตั้งบริษัท B House Studio ที่ช่วยเติมความรู้ให้กับคนที่ชอบการเต้นและอยากใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์

ทักทายแฟน ๆ สักหน่อย?
“สวัสดีครับ ผมชินดนัย ภูวกุล ครับผม หรือที่รู้จักกันในวงการว่า พี่แบงค์ ปัจจุบันเป็น Managing Director หรือ Founder ของบริษัทบี เฮ้าส์ สตูดิโอ ในประเทศไทยครับ สำหรับจุดเริ่มต้นการทำงานในวงการบันเทิงของผม แรกสุดเลยผมเหมือนเป็นสตูดิโอสอนเรื่องการเต้น ซึ่งเป็นงานที่เรียกได้ว่าเป็นงานที่เข้าใกล้วงการบันเทิงมากที่สุด พอเราได้ทำสอนเต้น จนวันนึงเราเติบโตขึ้นมานิดนึง เราก็มีโอกาสได้สอนกับแบบกลุ่มของพวกดารา พวกนักแสดงพอหลังจากที่เราเริ่มสนิทกันมาก ๆ และได้มีโอกาสดูแลอย่าง อีเวนต์ แฟนมีตติ้ง
หรือได้ดูแลงาน ได้รู้จักผู้จัดการ ได้รู้จักกับทางค่าย สเต็ปต่อมาคือหลังจากที่พอเราได้ดูแล Business ได้ดูแล Job ให้กับศิลปินและดาราแล้ว พอมีงานอีเวนต์ต่าง ๆ เราก็ได้เริ่มดูในส่วนของตัวโปรดักชัน ได้ดูพวกแบบครีเอทีฟ ได้ดูงานอีเวนต์หรือแบบ Traffific ต่าง ๆ ที่มันเกิดขึ้น เอาง่าย ๆ คือตอนนี้เราเริ่มได้ดูทั้งงานเบื้องหน้าและเบื้องหลังควบคู่กันแล้วครับ พอเวลาผ่านมามาก ๆ เข้าสะสมประสบการณ์ รวมถึงทีมที่ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ จนวันนึงเราก็กลายเป็นบริษัท CorporateEntertainment Service แบบอย่างครบวงจรครับ ทีนี้ครับจุดเริ่มต้นของตอนแรกเราก็อยู่ในประเทศไทยตามปกติ งานสอนเต้นจะลงคลิป ลงยูทูบไปอะไรไปก็เริ่มได้มีโอกาสไปสอนที่ต่างประเทศมากขึ้น ครั้งแรกสุดเลยได้รับเชิญไปในส่วนของฟิลิปปินส์แล้วก็ได้ขยายไปที่ลาว จากนั้นได้ขยายไปสิงคโปร์ก็คืออยู่ในบริเวณบ้านเรา ได้ไปมาเลเซีย ได้ไปอินโดนีเซียครับแล้วก็สุดท้ายก็เริ่มเติบโตขยายเข้าไปที่ประเทศเกาหลีใต้”
ทำงานมาหลากหลายแล้ว ถ้ามองในแง่ของตัวเอง คิดว่าประสบความสำเร็จในสายหน้าที่ที่อยากทำรึยัง?
“ณ ตอนนี้สำหรับความรู้สึกผมเลยจริง ๆ ผมจะมองว่าผมยังไม่ประสบความสำเร็จตรงนั้น ผมเรียกว่าเป็นจุด Start เริ่มต้นที่โอเค แล้วตอนนี้อยู่ในช่วงเวลาหรือเส้นทางที่ผมกำลังเดินอยู่เหมือนกัน ตอนนี้เราเป็นCompany ที่ขึ้นมาได้เต็มตัวแล้ว ชัดเจนครับ มีทีมมีอะไรพร้อม แล้วก็มีผลงานทุกอย่างครบหมดเรียบร้อยครับ แต่ผมมองว่าสเต็ปต่อ ๆ ไป นอกจากที่เราสร้างงานได้แล้ว ผมมองว่าการที่จะประสบความสำเร็จจริง ๆ คือเราต้องช่วยผลักดันหรือช่วยชูวงการให้เติบโตและไปในทิศทางที่ถูกต้องได้ด้วยเช่นกัน ซึ่งอันนั้นก็เป็นสิ่งที่พวกผมพยายามทำกันอยู่เหมือนกันแต่ว่าด้วยกำลังของตอนนี้ของเราเป็นทีมใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้นในระยะเวลาแค่ 3 ปีโดยประมาณ แล้วอาจจะมีส่วนช่วยในการผลักดันวงการได้บ้าง แต่ผมมองว่าถ้าเกิดประสบความสำเร็จจริง ๆ เราต้องผลักดันวงการให้มากกว่านี้ครับ”
“ความท้าทายของผมตอนนี้ ถ้าในความรู้สึกผมที่รู้สึกว่าผมอยากทำจริง ๆ คือผมอยากให้ความบันเทิงต่าง ๆ มันเข้าถึงทุกที่ได้มากขึ้น คือผมมองเห็นว่าสมัยนี้ด้วยโลกของเราตั้งแต่ยุคหลังโควิดมามันเข้ายุคดิจิทัลมากขึ้น แล้วด้วยอินเทอร์เน็ตหรือหลายสิ่งหลายอย่างมันทำให้ Space คนมันน้อยลงหรือกำแพงภาษา Language Barrier ต่าง ๆ รวมถึงความสัมพันธ์ของแต่ละประเทศมันสั้นลงมาก ๆ แล้ว ผมมองเห็นว่าจริง ๆ มีอีกหลายพื้นที่ครับ ที่ต้องการวงการบันเทิงเข้าไปมีส่วนร่วมให้กับผู้คน แต่ว่าโอกาสตรงนั้นเนี่ยก็ยังไปไม่ถึง ถ้าเกิดในมุมผม ผมรู้สึกว่าศิลปินคนนึงไม่ว่าจะเป็นจากประเทศอะไรก็ตามจากเกาหลีใต้ หรือจากไทย หรือจากอะไรก็ตาม ผมรู้สึกว่าอยากให้การกระจายของเค้า นอกจากจะกระจายแต่ละพื้นที่ตามหมุดตามเป้าที่วางไว้ ผมรู้สึกว่าอยากให้มันเป็นแบบรัศมีที่ออกกว้างและได้ทุกพื้นที่จริง ๆ แล้วมันจะมีผมรู้สึกว่าหลายพื้นที่มีโอกาส และผมมองว่าวงการบันเทิงมันเป็นแค่มากกว่าแสง สี เสียงครับ มันช่วยตั้งแต่เรื่องของแบบฮีลใจคน มันเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ มันเป็นการสร้าง Soft Power ได้จริง ๆ มันเป็นความท้าทายจริง ๆ”

ถ้าเกิดสมมุติว่า ณ ปัจจุบันเราไม่ได้ทำอันนี้ พี่แบงค์คิดว่าตัวเองจะทำอะไร?
“เดิมทีถ้าอย่างเมื่อก่อนผมอยากทำอยู่ 2 อย่าง อย่างแรกเลยคือผมอยากทำร้านอาหาร เพราะเป็นคนชอบเรื่องแบบ food กับอย่างที่สองที่ผมชอบจริง ๆ แล้วเคยลองไปจับมาแล้ว ถ้าเกิดว่าไม่ได้ทำด้านนี้จริง ๆ ผมคิดว่าน่าจะไปทำเรื่องเกี่ยวกับเรื่องเกม เราเคยดีไซน์เกมเราเคยอะไรมาก่อน แล้วเปิดเป็นเซิร์ฟเวอร์เล็ก ๆ ให้คนเข้ามาเล่น เหมือนเราสร้างเป็นโลกจำลองขึ้นมาอันนึง ซึ่งอันนั้นผมก็รู้สึกว่าก็แฮปปี้ครับ สนุกมากเหมือนกัน แต่มันไม่ได้เกี่ยวกับงานในปัจจุบันเลย ตอนแรกเราก็ไม่ได้คาดหวังว่าเราจะมาแบบเป็นเวย์นี้ได้ จุดเริ่มต้นจริง ๆ ตอนแรก เราทำเป็นครูสอนเต้นก็จริงเพราะอันนั้นคือสิ่งที่เราทำได้ แล้วมีโอกาสได้ผ่านมาก็ไม่ได้คิดว่าจะจับเป็นงานหลักตั้งแต่แรก แต่เหมือนโอกาสมันผลักดันมาเรื่อย ๆ เหมือนชะตาก็เลือกเรา
เพราะว่าทำอะไรมันไม่ขึ้นเท่ากับอันนี้ แต่พอเราทำมาปุ๊บ สุดท้ายจากที่เราทำ มองว่าเราเป็นแค่ครูสอนเต้นที่ยืนหน้ากระจกแล้วก็เทรนเด็ก แต่ทุกอย่างก็ทำให้เรามีประสบการณ์ หลังจากนั้นบีเฮ้าส์ก็เลยเติบโตมาเป็นคนที่ดูแล Production ได้ด้วย ผมก็เลยมองว่าจริง ๆ ในทุก ๆ อย่างที่เวลามันเลือกให้เรา มันโอเคและสมบูรณ์แบบมาก ๆ แล้ว”

ถ้าถามตัวตนจริง ๆ คิดว่าเราเป็นคนแบบไหน?
“ผมเป็นคนชอบท้าทาย เป็นคนที่ผลักดันแบบสุดโต่งมาก ๆ จะเป็นคนที่เลือกอะไรสักอย่างนึงจะไม่ค่อยสนซ้ายสนขวาจะตรงแบบเต็มที่ ที่สุดเพื่อให้มันแบบได้ผลลัพธ์ปลายทางคือผมเป็นคนแค่รู้สึกว่าตัวผมเป็นคนที่ชอบสัมผัสแบบอะไรแบบจริง ๆ จัง ๆ ก่อนถึงจะตอบได้ว่าใช่หรือไม่ใช่ แล้วก็ดื้อพอสมควร ถ้าในมุมข้อดีของผมก็รู้สึกว่าผมเป็นคนที่เลือกเหตุผลมากกว่าอารมณ์ได้ เราเลือกในสิ่งที่ถูกต้องมากกว่าสิ่งที่ถูกใจได้ แม้ว่าเราอยากทำแบบนี้แบบนั้น แต่เรายังสามารถคัดทุกสิ่งทุกอย่างเข้าสู่เส้นทางที่มันควรจะเป็นได้อยู่ ส่วนข้อเสียอย่างของผม คือจริง ๆ ผมเป็นคนเก่งริเริ่มครับเพราะผมเป็นคนฟุ้ง แต่เป็นคนไม่ค่อยเก่งรักษาเท่าไหร่ (หัวเราะ) เหมือนคิดว่าจะทำอันนี้ปุ๊บ เราสตาร์ตโครงการขึ้นมา ทำ ๆ อยู่ปุ๊บ ไม่ได้ทำต่อเพราะว่าเราใช้เวลาส่วนมากกับการไปฟุ้งแล้วสร้างสิ่งใหม่ขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งนิสัยนี้ก็พยายามทำให้ดีขึ้นอยู่เหมือนกันครับ”

แล้วเรื่องที่ดีใจที่สุดกับเรื่องที่เสียใจที่สุดคืออะไรช่วยรีวิวสั้น ๆ ได้ไหม?
“เรื่องที่ดีใจที่สุดสำหรับผม คือผมแค่มองว่าเหมือนผมได้ทำลายในการสร้างตัวเองได้ทำลายในการแบบเติบโตแล้วก็ปัจจัยรอบข้างครับ มันหล่อหลอมให้ผมกลายเป็นแบบทุกวันนี้ได้ครับ อันนั้นคือสิ่งที่ผมดีใจที่สุดในชีวิตแล้วที่ได้สิ่งนี้มา ไม่ว่าระหว่างทางที่มันเกิดขึ้นมันจะดีมันจะร้ายหรือลำบากจะยังไงไม่เคยเสียใจกับตรงนั้นเลย แต่อย่างน้อยคือประสบการณ์เส้นทางที่มันผ่านมา ผมรู้สึกว่าโลกใบนี้มอบอะไรหลาย ๆ อย่างให้ผมได้เรียนรู้และเติบโตได้เร็วมาก ๆ อยู่เหมือนกัน ส่วนสิ่งที่เสียใจที่สุดถ้าสำหรับผมคือเราอ่านคนไม่ออกครับ เราไม่รู้เลยว่าใครดีกับเรา ใครเข้ามาหาเราในช่วงที่เป็นผลประโยชน์ ใครเข้ามาหาเราด้วยแบบสิ่งใดก็ตามแล้วผมเป็นคนที่พอเราเลือกเชื่อใจคน ผมจะเป็นคนที่เชื่อใจแบบสุดพลังมาก ๆ แล้วก็ผิดหวังกับคนบ่อยครั้ง แม้ว่าจะได้รับคำเตือนมาเยอะสิ่งนี้ก็ยังเกิดขึ้นแบบซ้ำ ๆ อยู่เหมือนเดิม
เหมือนเรื่องคนน่าจะเป็นเรื่องที่ผิดหวังและเสียใจตลอดเรื่อยมา เมื่อก่อนคิดว่าโลกมันโอเคครับแต่แบบโตมาเรารู้ว่าโลกมันเหลี่ยมเยอะ (หัวเราะ)”
แบงค์เป็นพี่ชายของคนดัง พอคนเข้ามามันรู้สึกว่าทำให้เราเพื่อนน้อยลงไหม?
“จริง ๆ ในเรื่องของเพื่อนไม่ได้น้อยลงครับ ผมยังมีเพื่อนฝูงเยอะเหมือนเดิม แต่ว่าต้องคัดกรองคนที่เข้ามามากขึ้น ส่วนนึงเข้ามาทำความรู้จักกันอย่างดีเลย คุยอย่างดี สักพักหนึ่งเอาแล้วพอเราเริ่มสนิทกันจะเริ่มหวังประโยชน์จากน้องผม (แบมแบม-กันต์พิมุกต์) แทนบ้างแล้ว
เริ่มมาตอดเล็กตอดน้อย แต่ว่าโอเคครับ พอถึงอย่างที่ผมบอกตอนแรกว่าพอผมเป็นคนที่เอาความถูกต้องมากกว่าอารมณ์ครับ ผมจะคัดทุกอย่างได้เร็วมาก ก็จะบอกว่าสิ่งนี้ได้ สิ่งนั้นไม่ได้ประมาณนั้น เราก็จะมีภูมิแล้วก็สร้าง Barrier ตรงนั้นขึ้นมา มันก็จะคัดกรองคนที่ไม่ค่อยโอเคออกไปเองตามปกติ”

วันนี้ได้เป็นแบงค์ในแบบที่เป็นตัวเองแล้ว คนเห็นถึงความเก่งของคุณแล้ว รู้สึกกดดันในการทำงานไหม?
“ผมไม่ได้กดดันครับว่าวันนึงที่เราโตขึ้นมาแล้วแบบเราต้องฟิคทุกอย่างเข้ากว่าเดิม สิ่งแรกเลยจริง ๆ คือผมดีใจแล้วก็ขอบคุณทุกคนมาก ๆ ที่ได้ติดต่อกันเข้ามา ได้ร่วมงานหรือพยายามรู้จักแล้วก็ได้สร้างบางสิ่งบางอย่างร่วมกันบนความเป็นตัวเราจริง ๆ อันนี้ผมขอบคุณทุกคนมากจริง ๆ แต่เรากดดันในเชิงงานมากกว่าพอเราเติบโตขึ้นแน่นอนว่างานที่เข้ามามูลค่ามันสูงขึ้นความคุณภาพ Quality หลายสิ่งหลายอย่างที่เราก็ต้องเสิร์ฟให้เค้าคืนตามมูลค่างานที่มามันก็จะต้องยิ่งต้องแน่นขึ้น ยิ่งต้องมีความ Professional มากขึ้น ซึ่ง
โอเคครับบางสิ่งบางอย่างมันก็มีความผิดพลาดเกิดขึ้นบ้างตามประสา เราก็พยายามทำให้ดีที่สุดครับ คิดว่าความกดดันน่าจะเกิดขึ้นจากตรงนั้นมากกว่าแต่ถามว่ากดดันในเชิงที่ว่าอยู่ ๆ ได้งานใหญ่เข้ามาแล้วรู้สึกว่าแย่แล้ว งานนี้งานใหญ่ งานซีเรียส งานจริงจัง ต้องทำให้ดีไม่ได้คิดแบบนั้นครับ เราก็เรียกว่ารับผิดชอบกันตามแผนตามสโคปที่เราได้รับมาให้ดีที่สุดครับ อันไหนเกินกำลังเรา เราก็หาผู้มีความรู้มาให้คำแนะนำมาปรึกษาแล้วก็หา Solution ในการเดินงานให้มันถูกต้องแล้วโอเคที่สุดสำหรับลูกค้าครับ ทุกวันนี้ผมก็ยังหาความรู้อยู่ครับ ไม่เคยเป็นน้ำเต็มแก้วครับ”

ถามถึงมุมมองบ้างว่าอุตสาหกรรม T-POP ของเรามันจะไปในจุดที่เป็น Hub ของเอเชียที่เทียบเท่าใน K-POP ได้ไหม?
“ผมเชื่อว่าวันนึงทำได้ครับ ผมมองว่าถึงแม้ว่าบ้านเราถ้าคุยตามภาษาตรง ๆ บ้านเราอาจจะมีกราฟหรือมีเทคโนโลยี หรือมีการลงทุน Invest ต่าง ๆ ในวงการบันเทิงที่ยังไม่ได้เท่ากับของบ้านอื่นเค้า แน่นอนว่ามูลค่าวงการของเราใน Wave แรกหรือ Wave ก่อน ๆ หน้านี้มันสู้บ้านเค้าไม่ได้ก็จริง แต่ว่าถามว่าตอนนี้เรากำลังไต่ขึ้นมาเร็วไหม ผมก็จะตอบว่าในช่วงหลัง ๆ เราไต่ขึ้นมาเร็วมากพอสมควรเหมือนกัน ผมเชื่อว่าวันนึงคนไทยเราสู้ระดับ Global หรือเราเป็น Standardบน ๆ ได้แน่นอน ตัวอย่างเช่น พีพี-บิวกิ้น ที่ก็เราเห็นภาพได้แล้วว่าเค้าก็มี World Tour ประสบความสำเร็จได้แบบของจริง หรือศิลปินของเราเริ่มมีผลงานออกไปสู่ต่างชาติมากขึ้น ๆ ไม่ว่าจะเป็นทั้งด้าน Jeff Satur หรือ Grammy ซีรีส์ Y บ้าน Rapper บ้านอะไรต่าง ๆ
ที่เค้าได้รับการยอมรับมากขึ้น ๆ ผมเชื่อว่าวันนึง Wave ของเราหรือการเติบโตของเรามันจะสร้างมูลค่า สร้าง Value ให้กับวงการบันเทิงบ้านเราแล้ว Power ในการ Invest ก็จะค่อย ๆ สูงขึ้น ๆ เรื่อย ๆ ซึ่งเราพัฒนาไปได้ไกลแน่นอน”
จริง ๆ ยิ่งได้คุยและเห็นพัฒนาทางด้านการทำงานของแบงค์แล้ว ก็ยิ่งทำให้รู้สึกว่าวงการบันเทิงของเรา ยังสามารถเติบโตไปได้ในจุดที่สามารถเป็นรายได้หลักให้กับประเทศได้จริง ๆ ขอแค่ทุกฝ่ายพยายามและตั้งใจพัฒนาอุตสาหกรรมบันเทิงอย่างจริงจัง ให้พื้นที่คนทำงานบันเทิงได้ก้าวไปข้างหน้า ก็เชื่อว่าอีกไม่นาน ไทยจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของอุตสาหกรรมบันเทิงที่เป็นตลาดสากลและได้รับการยอมรับมากขึ้น รวมถึงดึงดูดนักท่องเที่ยวและคนต่างชาติให้มาท่องเที่ยวและรู้จักประเทศไทยผ่านอุตสาหกรรมความบันเทิงได้นั่นเอง.
เรื่อง : สมคิด แซ่คู ภาพ : ธนทัต จันทารักษ์