จากสถานการณ์การเมืองมีประเด็นร้อนอยู่หลายเรื่อง อีกทั้งมีการชิงไหวชิงพริบ ชิงความได้เปรียบโดยใช้กลไกของรัฐธรรมนูญ ที่ถูกเรียกว่าองค์อิสระซึ่งจะเป็นตัวชี้อนาคตนักการเมืองและพรรคการเมือง แสงสปอตไลต์จึงต้องตกมาอยู่กับผู้ทำหน้าที่ว่ามีความเป็น กลางหรือไม่

ด้วยสถานการณ์ห้ำหั่นกันถึงพริกถึงขิงห่ากระสุนจึงตกมาที่องค์กรอิสระโดยเฉพาะ กกต. ดูได้จากคำให้สัมภาษณ์ของนายแสวง บุญมี เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ออกมาโอดครวญ  ว่า  ถูกด่าฟรีมาปีกว่าๆ เพียงเพราะว่าตนเองเป็นคนบุรีรัมย์ จนมีคนไปฟ้องต่อศาลอาญาคดีทุจริต ว่าเหตุใด กกต.ถึงมีคำสั่งยื่นศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคก้าวไกล แต่กลับไม่ยื่นยุบพรรคภูมิใจไทย กรณีที่ พรรคภูมิใจไทยจากเหตุรับเงินบริจาคจากห้างหุ้นส่วนจำกัด บุรีเจริญคอนสตรัคชั่น ที่นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ ถือหุ้นอยู่ ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญ มีคำวินิจฉัยว่านายศักดิ์สยาม ชิดชอบ ยังคงถือครองหุ้นในบริษัทดังกล่าวอยู่ ซึ่งความคืบหน้าเรื่องคำร้องขอให้ยุบพรรคภูมิใจไทย ต่อกรณีนายศักดิ์สยามนั้น ทางคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงของนายทะเบียนพรรคการเมืองไปตรวจสอบแล้ว  และตนได้มีคำสั่งขยายระยะเวลาการทำงาน เพราะขณะนี้ กกต.อยากจะได้ข้อเท็จจริงเป็นที่ยุติ  

“จริงๆ แล้วอยากจะให้วินิจฉัยให้แล้วเสร็จภายใน 1-2 เดือน แต่ขยายเวลาออกไปจนคนอื่นรู้สึกว่า เพราะเลขาธิการ กกต. เป็นคนบุรีรัมย์ ซึ่งสัมพันธ์กันอย่างไรผมก็ไม่เข้าใจ ทำให้ตนเองกลายเป็นจำเลยของสังคม ทั้งๆ ที่ผมไม่เคยเข้าไปยุ่ง” 

นายแสวง กล่าวอีกว่า ทั้งนี้ถ้าถามข้อกฎหมายจริงๆ อย่างกรณีของ พรรคก้าวไกล มีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยเป็นแนวเอาไว้แล้ว ซึ่งก็ผูกพันกับ กกต.ทำให้ต้องใช้อำนาจในการยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อวินิจฉัย แต่คดีของพรรคภูมิใจไทยนั้นเป็นการร้องว่าผิดหรือไม่ ซึ่งคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ในกรณีของ นายศักดิ์สยาม ไม่ได้เป็นความผิดแห่งการยุบพรรคการเมืองเลย ไม่เป็นเหตุแห่งการยุบพรรคการเมือง แต่เราก็พยายามหาว่า สิ่งที่เขามาร้องนั้นเป็นเหตุที่จะโยงไปสู่การยุบพรรคการเมืองได้หรือไม่ ซึ่งตนไม่เคยไปสอบถามหรือแทรกแซงการทำงานของคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง เป็นเรื่องของอำนาจใครอำนาจมัน แต่วันนี้ฟังได้ว่าเขาเสนอเรื่องมาแล้ว ตนก็จะได้สบายใจว่ามันจะได้จบเสียที ผลจะเป็นอย่างไรก็ต้องรอดู คาดว่าเดือนตุลาคม ก็น่าจะจบได้