เมื่อวันที่ 27 ก.ย. 2567 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสรวงศ์ เทียนทอง รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการรื้อแผนกระตุ้นท่องเที่ยวปี 2568 โดยเฉพาะในช่วงนอกฤดูกาลท่องเที่ยวหรือโลว์ซีซั่น ที่กระทรวงการท่องเที่ยวฯ จะฟื้นโครงการเราเที่ยวด้วยกันอีกครั้ง เพราะแอปพลิเคชันยังมีอยู่และที่นั่งสายการบินก็ยังมีเยอะ ซึ่งจะช่วยได้ทั้งผู้ประกอบการและผู้บริโภค ส่วนในช่วงครึ่งปีหลังยังต้องประเมินเรื่องน้ำท่วมที่จะเกิดขึ้น เพราะจากที่เช็กสายการบินในช่วงที่เกิดน้ำท่วมมีการยกเลิกเที่ยวบินกันพอสมควร แต่การจองเที่ยวบินในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี (ต.ค.-ธ.ค.) มีการจองอยู่ ยังไม่มีการยกเลิกการเดินทาง สำหรับแผนกระตุ้นเศรษฐกิจอื่นๆ จะทยอยประกาศออกมา ระหว่างนี้จะต้องรอแผนกระตุ้นเศรษฐกิจภาพใหญ่ที่นายกรัฐมนตรีจะประกาศออกมาในเร็วๆ นี้ โดยกระทรวงการท่องเที่ยวฯ ก็จะทำตามแผนนโยบายของนายกฯ ซึ่งเราจะคุยกันตัวเลขจริงๆ ไม่มโน

นอกจากนี้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าไทยตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.–22 ก.ย. 2567 มีจำนวน 25 ล้านคน สร้างรายได้จากการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติแล้วประมาณ 1.188 ล้านล้านบาท ดังนั้นในช่วงที่เหลือของปีนี้ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาจะพยายามทำให้ได้ ทั้งจำนวนและรายได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ จำนวน 35 ล้านคน สร้างรายได้ 2 ล้านล้านบาท ซึ่งถือว่าเหนื่อยเพราะยังขาดอีกกว่า 8 แสนล้านบาท ในช่วง 3 เดือนกว่าที่เหลือ อย่างไรก็ตาม แม้เป้ารายได้อาจจะยากประกอบกับปัญหาน้ำท่วม และการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวเฉลี่ยต่อคนต่อทริปต่ำ โดยการอัดอีเวนต์ต่างๆ และโปรโมชั่นต่างๆ ให้กับนักท่องเที่ยวต่างชาติและผู้ประกอบการ

“ขออย่าให้เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นอีก อย่างสถานการณ์อุทกภัย รัฐบาลพยายามอย่างยิ่งที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยท่องเที่ยวและกีฬา และเมื่อช่วงสัปดาห์ก่อนได้คุยกับผู้ประกอบการภาคเอกชนท่องเที่ยวก็ได้มีการแนะนำให้เพิ่มเที่ยวบินเช่าเหมาลำหรือชาร์เตอร์ไฟลต์ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวประเทศหลักที่นิยมเดินทางท่องเที่ยวไทย เช่น จีน ญี่ปุ่น รวมถึงอินเดีย ที่ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อคนต่อทริปค่อนข้างมาก ส่วนตลาดจีนก็พยายามจะไปขยายในมณฑลอื่นๆ ให้มากขึ้น ขณะนี้เที่ยวบินตรงจากจีนยังเต็มอยู่ ดังนั้นในส่วนของจำนวนนักท่องเที่ยวไม่น่าห่วง แต่จะทำอย่างไรให้ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อหัวนักท่องเที่ยวใช้จ่ายได้มากขึ้น เพราะด้วยปัญหาเศรษฐกิจภายในประเทศของจีนเองทำให้เขาใช้จ่ายน้อยลง”