เกมพรีเมียร์ลีก ระหว่าง ลิเวอร์พูล กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมานั้น สมกับเป็นเกมบิ๊กแมตช์ที่แฟนบอลทั้งโลกรอคอย

แม้จะไม่ใช่แฟนบอล “หงส์แดง” หรือ “เรือใบสีฟ้า” แต่เชื่อว่าคนที่เป็นคอบอลพันธุ์แท้ ย่อมไม่อยากพลาดเกมคู่นี้ ด้วยความที่ทั้ง 2 ทีมคือหนึ่งในทีมที่ดีที่สุดในยุโรป หรือแม้กระทั่งจะบอกว่าดีที่สุดในโลกก็น่าจะไม่ห่างไกลความจริง

ฉะนั้น ใครที่อยากเห็นเกมฟุตบอลเปี่ยมคุณภาพ ย่อมคาดหวังได้ว่าคุณจะได้เห็นสิ่งนั้นในการเจอกันของ 2 ทีมนี้…

และภาพรวมที่ออกมาของเกมที่แอนฟิลด์ เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมานั้น ก็ไม่ทำให้แฟนบอลผิดหวัง ใครที่ได้นั่งดูอยู่ย่อมรู้สึกเหมือนกันว่าคุ้มค่ากับการรอดู

นึกไปนึกมา ผมรู้สึกเหมือนนั่งดูมวยโลกรุ่นเฮฟวีเวตในยุคของ ไมค์ ไทสัน ที่ทุกหมัดที่ออกไปพร้อมสำเร็จโทษคู่ชกได้ทุกเมื่อ แถมยังไม่มีการติ๊ดชึ่งดึงจังหวะให้เสียอารมณ์

ในครึ่งแรก “หงส์แดง” ของ เจอร์เกน คลอปป์ ที่มาแบบเต็มสูบที่สุดเท่าที่มี แต่กลับเป็นรองผู้มาเยือนอย่างคาดไม่ถึง “เรือใบสีฟ้า” ของ เปป กวาร์ดิโอลา ครองเกมเหนือกว่าด้วยประการทั้งปวง มีโอกาสยิงประตูมากมายหลายครั้ง ขาดก็แต่เพียงการส่งบอลเข้าไปตุงตาข่ายเท่านั้น

กลับมาในครึ่งหลัง คลอปป์ แก้เกมลงมา แต่ก็ยังไม่ได้แตกต่าง แต่ทันทีที่ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ พลิกหนี เจา กานเซโล แล้วแทงให้ ซาดิโอ มาเน หลุดเข้าไปยิงให้เจ้าถิ่นขยับนำ 1-0 ในนาทีที่ 59 มันมีมีใครสักคนทำการ “กดปุ่มสตาร์ต” เกมนี้อย่างเป็นทางการ…!!!

หลังโดนยิงนำ แมนฯ ซิตี เหมือนถูกสะกิดให้เน้นยิงกว่าเดิมในจังหวะสุดท้าย ก่อนที่ ฟิล โฟเดน จะโชว์ความคมกดเสียบโคนเสาให้ทีมเยือนตามตีเสมอในอีก 10 นาทีต่อมา

หลังจากนั้น จุดสำคัญคือการที่ เจมส์ มิลเนอร์ ไม่โดนเหลือง 2 ทั้งที่จงใจตัดเกมใส่ แบร์นาโด ซิลวา ชนิดเข้าตากรรมการ ก่อนที่อีกไม่ถึง 5 นาทีต่อมา “หงส์แดง” จะขยับนำอีกครั้งหลัง ซาลาห์ เต้นบัลเลต์ผ่าน 4 กองหลัง “เรือใบสีฟ้า” เข้าไปกดด้วยขวาไม่เหลือซาก

แต่อย่างที่บอกว่าคู่นี้เหมือนมวยยืนสาดหมัดใส่กัน และหมัดสุดท้ายเป็นของ แมนฯ ซิตี เมื่อ เควิน เดอ บรอยน์ ยิงแฉลบ โฌแอล มาทิป ตุงตาข่าย ก่อนผลจะลงเอยด้วยการเสมอด้วยสกอร์ 2-2 ในที่สุด

ไม่ว่าจะเป็นคุณภาพของโค้ช ที่กระตุ้นและแก้เกมตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นคุณภาพของนักเตะแต่ละตำแหน่งของทั้ง 2 ทีมที่ดูแล้วเนียนตา และด้วยรูปเกมที่ดุเดือดยิงประตูแลกกันแบบ “คุณทีผมที” นี่จึงเป็นเกมระดับ 5 ดาวที่น่าจะติดทุกโผหากมีการจัดอันดับเกมยอดเยี่ยมแห่งซีซั่น เมื่อฤดูกาลจบลง

และผมเชื่อลึก ๆ ว่าด้วยคุณภาพที่เห็นจากเกมนี้ ทั้ง “หงส์แดง” และ “เรือใบสีฟ้า” นี่แหละ ที่จะเป็น “ม้าเต็ง” 2 อันดับต้นของพรีเมียร์ลีก ฤดูกาลนี้…

สถิติน่ารู้หลังเกมบิ๊กแมตช์

  • ลิเวอร์พูล ชนะ แมนเชสเตอร์ ซิตี ได้แค่ครั้งเดียวในการเจอกัน 7 เกมหลังสุดในลีก (เสมอ 3 แพ้ 3) เสียไป 14 ประตูจาก 7 นัด
  • ลิเวอร์พูล ยังคงเป็นทีมเดียวที่ยังไม่แพ้ใครในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ และพวกเขาไม่แพ้ใครในทุกรายการมา 19 นัดติดต่อกันแล้ว โดยแพ้ครั้งล่าสุดคือเกม แชมเปี้ยนส์ ลีก นัดพ่าย รีล มาดริด เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา
  • แมนฯ ซิตี เสีย 2 ประตูในเกมนี้ หลังจาก 7 เกมในลีกก่อนหน้านี้เสียรวมกันแค่ประตูเดียว ขณะเดียวกัน พวกเขาถูกยิงตรงกรอบ 4 ครั้งในเกมนี้ ขณะที่เกมลีก 6 นัดก่อนหน้านี้ ทีมโดนคู่แข่งยิงตรอบรวกันแค่ 6 ครั้งเท่านั้น
  • โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ทั้งยิงทั้งจ่ายได้ 8 จาก 9 เกมในทุกรายการซีซั่นนี้ และเป็นนักเตะที่มีส่วนกับประตูมากที่สุดในพรีเมียร์ลีกเวลานี้ (12 ประตู) และถึงตอนนี้ เจ้าตัวยิงติดกันมา 7 เกมแล้วในทุกรายการ เทียบเท่าสถิติยิงติดต่อกันนานสุดของตัวเองกับ “หงส์แดง”
  • ลิเวอร์พูล มีโอกาสยิงแค่ครั้งเดียวในครึ่งแรก เป็นสถิติน้อยสุดในเกมลีกที่แอนฟิลด์ นับตั้งแต่เกมกับ เชลซี เมื่อเดือนมกราคม 2017